YDM ชี้ CDP “กระดูกสันหลัง” ของการทำมาร์เก็ตติ้ง ทรานส์ฟอร์มฯ

วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) หรือ YDM เอเจนซี่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการรวมพลังของเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตธุรกิจแบบ Full-Funnel

ชู 5 เหตุผลที่แบรนด์ต้องทรานส์ฟอร์มการตลาด เพื่อลดค่าใช้จ่าย สร้างช่องทางการหารายได้ใหม่ เพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีกว่า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เผย CDP เป็น “กระดูกสันหลัง” ของการทรานส์ฟอร์มการตลาด พร้อมเปิดแนวทางทรานฟอร์มการตลาดสู่ความสำเร็จ เสริมแกร่ง พร้อมรับมือการแข่งขัน ข้ามวิกฤติการเปลี่ยนแปลง สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน กระตุ้นแบรนด์และองค์กรเร่งเดินหน้าทรานส์ฟอร์มการตลาด พร้อมแนะการวางโรดแมปที่ใช้งานได้จริง!! ด้วย CDP

นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะการแข่งขันบนการตลาด 5.0 ที่ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกๆ วัน ทุกอุตสาหกรรมทั่วโลกต้องอาศัยการปรับตัวด้วย “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น” ให้เท่าทันการแข่งขัน โดยเฉพาะสายงานการตลาดที่ต้องเร่งและมุ่งทำ Marketing Transformation ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าสู่งานการตลาด เช่น การประยุกต์ใช้ AI ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน แม้จะมีหลายแบรนด์สามารถทรานส์ฟอร์มฯ ได้สำเร็จแล้ว แต่กลับพบว่ากว่า 85% ที่ยังไม่สามารถทำมาร์เก็ตติ้ง ทรานส์ฟอร์มฯ ได้ โดย 3 อุปสรรคสำคัญที่ทำให้องค์กรไปต่อไม่ได้ คือ วัฒนธรรมองค์กร ที่ไม่เปิดรับเทคโนโลยี ไม่ต้องการใช้เพราะไม่มีความเชื่อหรือไม่มีความเชี่ยวชาญ คน ทรัพยากร และโครงสร้างองค์กร ยังไม่พร้อม รวมถึงกระบวนการทำงานภายในองค์กรที่ยังคงเป็น Traditional process

“หัวใจสำคัญของการทำ Marketing Transformation พบ 3 ประเด็นหลัก ๆ ที่พูดถึงกันบ่อย ๆ คือ 1. Prediction การทำนายผลลัพธ์ทางการตลาด เช่น การทำนายว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าอะไร ยอดซื้อเท่าไหร่ ผู้บริโภคแต่ละคนจะตอบสนองกับโปรโมชั่นหรือแคมเปญการตลาดที่ทำออกไปเช่นไร เป็นต้น 2. Personalization การออกแบบการทำการตลาดตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลโดยหยิบยื่นข้อเสนอ หรือ รูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน และ 3. Automation การทำการตลาดอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงใจ ถูกที่ ถูกเวลา สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งการจะทำได้ทั้งสามอย่างนั้น การรวบรวมและการจัดการ Data ที่เกี่ยวข้องจะมีความสำคัญอย่างมาก แบรนด์ต้องเปลี่ยนวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเดิมที่โฟกัสแต่ “ลูกค้าที่ทำธุรกรรม” (Customer Transactional Data) เปลี่ยนมาโฟกัส “ลูกค้าแบบองค์รวม” (Customer Holistic Data) คือ เก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ในทุก ๆ Touch Points แทน” นายธนพลกล่าว

ดังนั้น การใช้แพลตฟอร์ม CDP (Customer Data Platform) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังที่สำคัญ ต้องยกระดับจากการใช้ CRM มาเป็น CDP เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลผู้บริโภคตลอด Consumer Journey คือ ตั้งแต่ยังไม่ซื้อสินค้า จนมาซื้อสินค้าเป็นลูกค้า จนถึงหลังทำการซื้อสินค้าแล้ว เช่น ข้อมูลการคลิกโฆษณา ข้อมูลการชมเว็บไซต์ ข้อมูลบน Social Media ข้อมูล POS ข้อมูลการใช้สิทธิพิเศษ, ข้อมูลการใช้บริการหลังการขาย ฯลฯ โดยรวบรวมข้อมูลทุกอย่างในทุกช่องทางให้มาอยู่ในที่เดียวให้หมด (Data Lake) เมื่อสามารถดึง Data ทุกอย่างมาอยู่ในที่เดียวกันได้แล้ว แบรนด์จึงจะสามารถใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ และทำนายพฤติกรรมในอนาคต รวมถึงสามารถนำ AI มาช่วยแบ่งเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ เพื่อทำ Personalized Marketing และ Marketing Automation ที่สามารถช่วยสร้างยอดขายได้จริง ด้วยต้นทุนทางการตลาดที่ถูกลง ด้วยเหตุนี้ CDP จึงขึ้นแท่นเป็น “กระดูกสันหลัง” ของการทรานส์ฟอร์มธุรกิจบนการตลาด 5.0

“มี 5 เหตุผลสำคัญที่แบรนด์ต้องทรานส์ฟอร์มการตลาด คือ 1. ช่วยให้แบรนด์และองค์กรเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในยุคแห่งการแย่งชิงพื้นที่ความสนใจ ทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคด้วยการสื่อสารการตลาดอย่างถูกที่ ถูกเวลา ในเวลาที่ลูกค้าต้องการ 2. สร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น 3. ช่วย เพิ่มความคล่องตัวในการทำงานขององค์กรมากขึ้น ทุกหน่วยงานสามารถหยิบข้อมูลด้านการตลาดไปใช้ได้ทันทีแบบเรียลไทม์ และยังสามารถนำ Data ที่มีมาต่อยอด 4. สร้างช่องทางการหารายได้ใหม่ ๆ ได้อีกด้วย และ 5. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด จากงานวิจัยของ Proxima พบว่า องค์กรและแบรนด์ส่วนใหญ่ สูญเสียเงินถึง 40-60% ของงบการตลาดทั้งหมดไปกับการทำการตลาดที่ไม่ได้ก่อให้เกิดยอดขายใด ๆ การทรานส์ฟอร์มการตลาดด้วย CDP ซึ่งนับเป็นกระดูกสันหลังของการทำ Marketing Transformation จะช่วยตัดค่าใช้จ่ายในส่วนของงบการตลาดที่ไม่จำเป็นออก พร้อมช่วยวิเคราะห์และแนะนำการใช้งบการตลาดที่ถูกต้องให้กับแบรนด์ ” นายธนพลกล่าว

อย่างไรก็ดี YDM แนะนำให้ แบรนด์และองค์กรควรวางโรดแมปที่ชัดเจน 5 ขั้นตอน ในการทำ Marketing Transformation คือ
1. กำหนดเป้าหมายปลายทางที่ชัดเจน ให้การทำ Marketing Transformation สอดรับและเป็นไปในทางเดียวกับ Marketing Vision และ Marketing Strategy ขององค์กร
2. ประเมินคุณค่าทางธุรกิจที่จะได้รับ และสำรวจความเป็นไปได้ในเชิงข้อมูลในส่วนงานการตลาด โดยการสำรวจและตรวจสอบสถานะของ Data ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับ Data ที่ต้องการมีเพิ่มในอนาคต กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
3. กำหนดผลลัพธ์ทางการตลาดที่ต้องการ จากการทำทรานส์ฟอร์ม และกำหนดมาตรฐานการวัดผลที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
4. สรรหาและดำเนินการติดตั้งแพลตฟอร์ม หรือ ระบบ ด้าน Mar Tech ที่เหมาะสม ซึ่ง CDP เป็น Mar Tech เครื่องมือที่องค์กรควรพิจารณาเป็นอันดับต้น ๆ
5. ส่งเสริมให้เกิดการใช้งานแพลตฟอร์มจริง เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์จริงตาม Output หรือ KPI ที่ตั้งไว้

นายธนพลกล่าวเสริมว่า “การทำมาร์เก็ตติ้ง ทรานส์ฟอร์ม เป็นสิ่งที่ธุรกิจหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกวันนี้องค์กรขนาดใหญ่หรือแบรนด์ระดับโลกได้ลงมือทำและเห็นผลลัพธ์กันแล้ว จากนี้ไปช่องว่างระหว่างองค์กรที่ทรานส์ฟอร์มการตลาดแล้ว กับองค์กรที่ยังไม่ได้ทรานส์ฟอร์มฯ จะเป็นช่องว่างที่กว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยองค์กรที่ยังไม่ได้ทำหรือเริ่มทำแล้ว แต่ช้าก็จะเสียเปรียบ และแข่งขันไม่ได้ในที่สุด”

YDM Thailand เป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำ Marketing Transformation ระดับองค์กร ด้วยประสบการณ์ในแวดวงโฆษณาด้านการตลาดในประเทศไทยมากว่า 14 ปี มีเป้าหมายร่วมผลักดันแบรนด์และองค์กรไทยทำ Marketing Transformation ให้ประสบความสำเร็จ ด้วยการนำประสบการณ์ ทีมงานที่เชี่ยวชาญ พร้อมแพลตฟอร์มทางการตลาดด้าน Mar Tech ผ่านการจับมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ทั้ง FSN Asia บริษัท Digital Marketing อันดับ 1 ของเกาหลี และ IGAWorks บริษัทสตาร์ทอัพยูนิคอร์นด้าน Big Data ระดับโลก

 

Stay Connected
Latest News