‘ความยั่งยืน’ 1 ใน 4 เสาหลัก เครื่องมือประเมินคุณภาพการเติบโต เมื่อ ‘GDP’ กลายเป็นเพียงเครื่องมือชี้วัดเชิงปริมาณ

การประชุมสภาเศรษฐกิจโลก ( WEF : World Economic Forum) ณ เมืองดาวอส เมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมา ได้สรุปอย่างเห็นพ้องกันว่า การเติบโตของ GDP อย่างเดียวไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่จะนำไปสู่เป้าประสงค์ใหญ่ขึ้น

ประเทศต่างๆ จีงควรหันกลับมาให้ความสำคัญกับ ‘คุณภาพ’ ของการได้มาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ ‘คุณภาพ’ ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจจะสร้างให้เกิดข้ึนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนภายในระบบเศรษฐกิจนั้นๆ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุไว้ในบทวิเคราะห์ เรื่อง ก้าวต่อไปของโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจไทยภายใต้โลกที่ไม่แน่นอน พร้อมชวนต้ังคำถามว่า การพัฒนาเศรษฐกิจแบบมุ่งเน้นการพัฒนาเชิงปริมาณที่วัดจาก GDP มาโดยตลอดนั้น ยังเป็นทิศทางที่ถูกหรือไม่?  เมื่อบริบทโลกกำลังเปลี่ยนไป จากทิศทางการเติบโตที่ลดต่ำลง ความไม่แน่นอนสูงขึ้น และมีความเสี่ยงรอบด้านมากขึ้น

สะท้อนได้ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขันกันจากตัวเลข GDP เป็นปัจจัยในเชิง ‘ปริมาณ’ ที่ไม่สามารถสะท้อนปัจจัยแวดล้อมอื่นของสังคมและความเป็นอยู่ของประชาชนได้ครบถ้วน ส่งผลให้มีปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในด้านอื่นๆ อีกมากที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่ควรจะเป็น เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาทุนมนุษย์ และความเท่าเทียมทางเพศ เป็นต้น

สอดคล้องกับข้อเสนอของ WEF ที่วางกรอบการเติบโตของเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (Future of growth framework)​ ผ่านการใช้เครื่องมือใหม่ในการประเมินคุณภาพของการพัฒนา และการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว (Long-term quality of growth) ที่จะนำมาสู่แนวทางปฏิบัตของแต่ละประเทศ ควบคู่ไปกับแนวทางเดิมอย่าง การวัดในเชิงปริมาณผ่าน GDP ซึ่งเป็นมิติในระยะสั้น (Shortterm quantity of growth) เพื่อสามารถประเมินคุณภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างสมดุลมากขึ้น​ พร้อมช่วยลดความเสี่ยงที่มีอยู่รอบด้าน

ทั้งนี้ 4 เสาหลัก ที่ทาง  WEF เสนอให้ใช้เ​ป็นเครื่องมือใหม่ สำหรับ​การประเมินและชี้วัดการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน และเป็นเป้าหมายสำหรับการนำไปใช้กำหนด​กรอบการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว ประกอบด้วย

1. นวัตกรรม (Innovativeness) ระบบเศรษฐกิจที่สามารถซึมซับ และพัฒนาต่อยอดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีใหม่

2. ความเท่าเทียมและทั่วถึง (​Inclusiveness) การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในโอกาสและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น จากการพัฒนา

3. ความยั่งยืน (Sustainability) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการเติบโตไปกับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

4. ความสามารถในการปรับตัว (ล้มยากและลุกเร็ว)  (Resilience) ระบบเศรษฐกิจที่สามารถรับมือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดใหม่ ๆ และกลับสู่แนวโน้มเดิมได้ ภายในเวลาไม่นาน

Health Check การเติบโตเชิงคุณภาพของโลกและประเทศไทย 

จากเครื่องมือในการประเมินและชี้วัดการเติบโตเชิงคุณภาพที่ทาง WEF ได้กำหนดกรอบไว้แล้ว พร้อมทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินการเติบโตในเชิงคุณภาพของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผ่าน 4 เสาหลัก ทั้ง  Innovativeness, Inclusiveness, ​ Sustainability​ และ ​Resilience พบว่า ภาพรวมของโลกมีคะแนนใน 4 เสาหลักอยู่ในช่วง 45 – 55 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 โดย Innovativeness มีคะแนนน้อยสุดที่ 45.2 คะแนน ​ ขณะที่ Inclusiveness ได้คะแนนมากสุด ​55.9 คะแนน

ส่วนกลุ่มประเทศรายได้สูงได้คะแนนในแต่ละเสาหลักสูงกว่าประเทศรายได้ปานกลาง ยกเว้นมิติด้าน Sustainability ที่มีคะแนน 45.8 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่มีคะแนน 46.8  รวมทั้ง​ใกล้เคียงกับประเทศที่มีรายได้ปานกลาง 44 ส่วนคะแนนเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 40.8

หากเจาะลึกการพัฒนาของไทยพบว่า มิติด้าน Sustainability  มีคะแนนต่ำที่สุดคือ 40.8 ​ เช่นเดียวกับภาพรวมโลก ตามด้วยคะแนนด้าน Innovativeness (47.9 คะแนน) Resilience (51.5 คะแนน) โดยคะแนนของไทยโดยรวมอยู่ในระดับใกล้เคียงกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูง ยกเว้นด้าน Sustainability  ที่คะแนนของไทยค่อนข้างต่ำกว่าอยู่มาก รวมทั้งต่ำกว่าคะแนนของกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงค่อนข้างมากในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านความเหลื่อมล้ำ (Inclusiveness) ที่แตกต่างกันมากถึง 13.2 คะแนน

ตามด้วยความแตกต่างด้านนวัตกรรม  (Innovativeness )​ แตกต่างกัน 11.5 คะแนน​ และความยืดหยุ่นปรับตัว (Resilience ) แตกต่างกัน 10.4 คะแนน  โดยคะแนนด้าน  Sustainability แตกต่างกัน 5 คะแนน

ผลที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า ไทยมีปัญหาคุณภาพการเติบโตในระยะยาวมากที่สุด ใน 2 เสาหลัก คือ Inclusiveness ​จาการรกระจุกตัวในกลุ่มคนมีฐานะ ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยยังต้องเผชิญปัญหารายได้น้อยไม่เพียงพอต่อรายจ่าย และมีปัญหาหนี้สูง เพราะการพัฒนา​การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาไม่สามารถกระจายประโยชน์ได้ทั่วถึง ส่วนด้าน Sustainability สะท้อนการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน และนวัตกรรมเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green transition) ของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะการให้เงินทุนสนับสนุนการลงทุน

ทั้งนี้ SCB EIC ​จึงประเมินว่า การยกระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพสอดคล้องกับโมเดลใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจนี้  จะต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการยกระดับระบบนิเวศ (Ecosystem) ผ่านมาตรการต่อไปนี้

1. การยกระดับระบบนิเวศทางการเงิน (Financial ecosystem) และระบบนิเวศทางเทคโนโลยี (Technology ecosystem) ซึ่งต้องเร่งขับเคลื่อนเป็นลำดับแรก ​สามารถทำได้ด้วยการนำเสนอเครื่องมือและบริการทางเงินที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สร้างรายได้และกระจายประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจให้ทั่วถึง ผ่านการให้เงินทุนสนับสนุนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และการสนับสนุนนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ประกอบกับการเพิ่มแรงจูงใจในการแข่งขันและลดกฎระเบียบภาครัฐที่ซ้ำซ้อนจะเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ของภาคเอกชน

2. การยกระดับระบบนิเวศทางทรัพยากรมนุษย์ (Talent ecosystem) เป็นลำดับต่อมา เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานและภาคการผลิตไทย รวมถึงการเพิ่มผลิตภาพการผลิตของภาคการผลิตไทยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น สอดรับกับกระแสความยั่งยืน และสามารถเชื่อมโยงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกใหม่ได้ทันบริบทโลกที่เปลี่ยนไป

ภาคธุรกิจไทยถือเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจไทยที่เน้นการเติบโตเชิงคุณภาพ จึงควรเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจโจทย์ที่เปลี่ยนไปได้ เพื่อสามารถอยู่รอดและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนต่อไปท่ามกลางบริบทโลกใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้

Stay Connected
Latest News

กระทรวงพลังงาน จับมือ “ปตท.- กฟผ.” ดัน “ไทย” ก้าวข้ามความท้าทายด้านพลังงาน  ยก “ฟิวเจอร์ เอเนอร์ยี่ เอเชีย” และ “ฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย 2024” ปัจจัยเร่งทรานส์ฟอร์มพลังงานสะอาด 15-17 พ.ค.นี้! ที่ ศูนย์ฯ สิริกิติ์