SOS Thailand เร่งขยายพันธมิตร พร้อมแชร์อินไซต์ ภาคธุรกิจบางส่วนมอง Surplus Food ​คือความล้มเหลวในการจัดการ Zero Food Waste ของตัวเอง

ปฏิเสธไม่ได้​ว่า ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจอาหาร (Food Industry)  ทุกรายล้วนมีอาหารส่วนเกิน​ ​หรือ Surplus Food ​ซึ่งถือเป็น​​อาหารที่ยังคงมีคุณภาพดี แต่​ไม่สามารถจำหน่ายได้ทันก่อน​ที่อาหารเหล่านั้นจะหมดอายุ หรือบางชิ้นที่อาจดูไม่สวยงามทำให้ไม่สามารถขายได้

การบริหารจัดการ​ Surplus Food ได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ ยังช่วยลดการเกิดขยะอาหาร หรือ Food Waste ​​ไปสู่หลุมฝังกลบ​ ด้วยการนำอาหารส่วนเกินเหล่านี้ไปส่งต่อให้ผู้ที่มีความต้องการ ​เช่น ชุมชนต่างๆ ที่มีรายได้ต่ำ ​​กลุ่มเปราะบาง องค์กร หรือหน่วยงาน​ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน ​ซึ่งนอกจาก​ช่วยลดปริมาณขยะอาหาร ยังช่วยลด Carbon Emission เพื่อลดผลกระทบปัญหาด้านสภาพอากาศได้อีกทางหนึ่งด้วย

มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (ประเทศไทย) หรือ เอสโอเอส ประเทศไทย (SOS Thailand) อีกหนึ่งหน่วยงานที่มีภารกิจด้าน Food Rescue หรือการกู้ชีพอาหารส่วนเกินที่ได้รับการบริจาคอาหารจากพันธมิตร และนำไปส่งต่อเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ซึ่งเริ่มขับเคลื่อนในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2016 จนถึงเดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา ​​สามารถกู้ชีพอาหารได้รวมกันแล้ว​ 8.16  ล้านกิโลกรัม พร้อมส่งต่อมื้ออาหารไปยัง​ 3,600 ชุมชน รวมกัน​ได้มากกว่า 34.29 ล้านมื้อ รวมทั้งช่วยลดการปล่อย CO2 ลง 20,658 ตันCO2e

คุณธนาภรณ์ อ้อยอิสรานุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการแห่งประเทศไทย  SOS Thailand กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้มีพันธมิตรเข้ามาร่วมมือกับทางมูลนิธิฯ เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีพันธมิตรราว 100 ราย ทั้งจากรายใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10 ราย ทั้งใน กทม. และในอีก 3 พื้นที่ คือ เชียงใหม่,​ ภูเก็ต และหัวหิน รวมทั้งพันธมิตรเดิมที่เพิ่มจำนวนสาขาในแต่ละพื้นที่มาเข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ความร่วมมือจะมีทั้งพันธมิตรที่บริจาคต่อเนื่อง บริจาครายปี รายครึ่งปี หรือ​​กลุ่มที่มาร่วมทำ​ CSR เป็นรายโปรเจ็กต์​ ซึ่งทางมูลนิธิฯ ไม่ได้เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ

ขณะเดียวกันปริมาณความต้องการอาหารในระบบก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเช่นกัน ทั้ง​กลุ่มคนที่ต้องการอาหารเพิ่มขึ้น รวมทั้งความจริงจังในการขับเคลื่อนมาตรการ Zero Food Waste ของพันธมิตร ​ทำให้มูลนิธิฯ ​พยายามมองหา​พื้นที่ใหม่ๆ ที่ยังเป็นรอยรั่วในการเกิดอาหารส่วนเกิน ​เ​ช่น ภายใน​ซัพพลายเชนของ​ธุรกิจอาหาร เพราะส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะเป็นอาหารส่วนเกินที่อยู่หน้าร้านเป็นหลัก แต่ภายในห่วงโซ่ เช่น ในส่วนการผลิต ​​การขนส่ง คลังสินค้า หรือจากกลุ่มซัพพลายเออร์ของแต่ละธุรกิจ รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจอาหารส่งออก อาหารประป๋อง อาหารแช่แข็ง ซึ่ง​ทางมูลนิธิฯ จะเพิ่มความร่วมมือเข้าไปยัง​พันธมิตรในกลุ่มเหล่านี้ให้เพิ่มมากขึ้น

“ปัจจุบันพันธมิตรที่ร่วมมือกับทางมูลนิธิฯ อาจจะมีสัดส่วนไม่ถึง 5% ของผู้ประกอบการของธุรกิจอาหาร ซึ่ง​ปริมาณความต้องการอาหารยังคงอยู่ในระดับสูง จึงได้ตั้งเป้าขยายความร่วมมือกับพันธมิตรให้เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 25% เพื่อเพิ่มปริมาณอาหารในการนำไปช่วยเหลือผู้ที่มีความต้องการได้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ทั้งการส่งต่ออาหารที่ได้รับบริจาคมาไปสู่ผู้รับได้ในเวลาที่เหมาะสม ทันกับช่วงเวลาในการรับประทานอาหารของคนในชุมชน รวมทั้งการ​บดูแลด้าน​​ Shelf Life หรืออายุในการเก็บรักษา เพราะอาหารส่วนเกินที่ได้รับบริจาคมาส่วนใหญ่จะมีอายุสั้นกว่าปกติ จึงต้องระวังทั้งการสร้าง​ขยะอาหารเพิ่ม หรือการดูแลไม่ให้กระทบต่อสุขภาพของผู้รับบริจาค”

ยังมีอินไซต์สำคัญเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการบริจาคอาหาร หรือ Food Donation ของภาคธุรกิจบางส่วน ที่มองว่า การนำอาหารมาบริจาคสะท้อนถึงความล้มเหลวด้าน Zero Food Waste Management ของตัวเอง และไม่กล้าร่วมมือกับทางมูลนิธิฯ ทำให้อาหารส่วนเกินอีกจำนวนหนึ่งไม่ได้ถูกนำมาจัดการอย่างเหมาะสม และอาจต้องกลายเป็นขยะอาหารไปในที่สุด​ หรือบางองค์กรที่อาจไม่ได้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลที่ชัดเจน ทำให้​ไม่ทราบว่าภายในกระบวนการยังมีอาหารส่วนเกิน หรือขยะอาหารเกิดขึ้นในจุดไหนอย่างไรบ้าง รวมทั้งยังคงมีผู้ประกอบการบางราย​ที่ยังคงเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการ​หรือนำไปทำลายในระดับสูง ​

“อยากให้ภาคธุรกิจทั่วไปมองว่า Surplus Food เป็นเรื่องปกติมากๆ และหลีกเลี่ยงได้ยาก​สำหรับธุรกิจอาหาร ที่จะ​ทำให้อาหารที่ถูกผลิตขึ้นสามารถขายได้ทั้งหมด ทั้งจากกลไกทางการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค หรือแม้แต่กระบวนการในการขนส่งสินค้าเข้าออกภายในประเทศ​ ที่ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาหารส่วนเกินได้ทั้งสิ้น ไม่ได้สะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการขององค์กรแต่อย่างใด ซึ่งทางมูลนิธิฯ จะเร่งสื่อสาร และสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ ที่มีอาหารส่วนเกินอยู่ เพื่อนำมาเข้าสู่กระบวนการในการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม​ ​ขณะที่การบริจาคอาหารถือเป็นหนึ่งในโซลูชั่น​การแก้ปัญหาที่ถูกต้องมากที่สุดวิธีการหนึ่ง ​ซึ่งนอกจากผู้บริจาคไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แล้ว ทางมูลนิธิฯ ยังได้สรุปรายงาน​ Positive Impact ที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อน​​ร่วมกันทั้งการช่วยลดปริมาณขยะอาหาร การสร้างคุณค่าให้สังคมผ่านมื้ออาหาร และปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์ที่ลดลงได้ เป็นต้น”

นอกจากนี้ ทางมูลนิธิฯ ยังอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) อย.​ (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมมลพิษ ในการออกคู่มือการบริจาคอาหารเพื่อเพิ่มการสื่อสารไปยังภาคธุรกิจตางๆ ทั้งในกลุ่มโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือร้านสะดวกซื้อ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดมาตรฐานสำหรับการดำเนินการบริจาคอาหาร​ที่มีความสอดคล้องไปกับมาตรฐาน​อาหารปลอดภัย หรือ Food Safety เพื่อให้ประเทศไทยมีโมเดลและมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบ Food Donation เพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีขึ้นในระบบนิเวศทั้งจากผู้บริจาค หน่วยงานหรือองค์กรด้าน Food Recue เพื่อสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ได้รับบริจาค ควบคู่ไปกับการได้มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤต​​สภาพอากาศด้วย

Stay Connected
Latest News