JLL แนะ Office Building ​​เร่งสร้างมาตรฐาน ‘อาคารยั่งยืน’ ชี้เป็นปัจจัยแรกที่ผู้เช่ารายใหญ่จะถามหา ​และให้ความสำคัญมากกว่า ‘ราคา’ ​หรือ ‘โลเกชั่น’

โจนส์ แลง ลาซาลล์ ประเทศไทย (JLL) บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ สรุปภาพรวมกระแสแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของปี 2567 ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและนอกประเทศ โดยพบว่า แนวคิด ESG เข้ามามีบทบาท​ และสามารถสร้าง​ผลประโยชน์ต่อเจ้าของอาคารและนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

โดยแนวคิด ESG จะโตต่อเนื่องตลอดปี 2567 จากการที่ผู้เช่าจำนวนมากต่างมองหาอาคารสำนักงานที่มีความยั่งยืน และสามารถเอื้อต่อการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Corporate Net Zero Goals) ของ​องค์กรต่างๆ โดยปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะที่ความสามารถในการพัฒนาอาคารเพื่อรองรับ ยังไม่มากพอ ส่งผลให้​​เกิดการแข่งขันในกลุ่มผู้ให้บริการอาคารสำนักงานและการดำเนินงานที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยพบว่า การพัฒนาอาคารให้เป็นไปตามมาตรฐาน Green Space หรือ Low Carbon Space ใน 6 ตลาดสำคัญของ​เอเชียแปซิฟิกในอนาคต จะสามารถรองรับความต้องการได้เพียง 40% เท่านั้น​

ทั้งนี้ JLL ให้ข้อมูลว่า ภายใน 2573 หรืออีก 6 ปี ข้างหน้า  96% ของผู้เช่าอาคารมีความต้องการให้สินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยได้รับ Green Certificated  ​​ครบทั้ง 100% ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจ​าก 17% ในปัจจุบัน ​​​ส่งผลให้​การรับรองอาคารสีเขียว จะกลายมาเป็นข้อกำหนดมาตรฐานของผู้เช่าที่มองหาอาคารสำนักงาน หรือในกลุ่มนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญลำดับแรก ที่ผู้เช่ารายใหญ่โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจข้ามชาติมองหา และมาก่อนปัจจัยในเรื่องของราคา หรือโลเกชั่น เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายจากบริษัทแม่ที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero

รวมถึง​การมีข้อมูลการทำงานของอาคาร (Building Performance Data) ที่มีความสำคัญมากขึ้น เพื่อรับรอง​การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและข้อมูลการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างแท้จริง อีกทั้งผู้เช่าในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและจัดทำข้อมูลและเอกสารด้านความยั่งยืนของตนอีกด้วย ​

คุณไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า JLL ​เป็น Real Estate Service Provider รายแรกของโลก ที่ได้ตั้งเป้าหมายในการลด Carbon Emission ทั้งสโคป 1 2 และ 3 ลง 95% ภายในปี 2583 ตามมาตรฐานของ SBTi Net-Zero พร้อมขยายบริการในกลุ่ม Sustainability Service เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและการเติบโตของแนวคิดด้านความยั่งยืน หรือ ESG ที่เข้ามามีบทบาทในธุรกิจมากขึ้น และสามารถสร้าง​ผลประโยชน์ต่อผู้เช่าหรือ​นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นต้นเหตุของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกถึง 40%

และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างท้าทาย ทาง JLL จึงได้ดำเนินการในหลายมิติ ทั้งการย้ายที่ตั้งสำนักงานไปยัง The PARQ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกของไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้ง LEED และ  WELL ที่นอกจากการมิติด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานอาคารเขียว ยัง​มีการขับเคลื่อนหลายโปรเจกต์ด้านความยั่งยืนในมิติของการส่งเสริม Sustainable Workplace ​รวมทั้งยัง​ได้วางเป้าหมาย​​ลดของเสีย ผลักดันการขนส่งที่มีความยั่งยืน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ซึ่งประการหลังนี้นับว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจาก การสำรวจผู้เช่าอาคารในประเทศไทยกว่า 37% วางเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2573 ทำให้การใช้พลังงานหมุนเวียนในอาคารกลายมาเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ นอกจากนี้ 80% ยังคาดว่าจะเปลี่ยนรูปแบบพลังงานของตนไปเป็นแบบหมุนเวียน เพิ่มขึ้นจาก 23% ซึ่งเป็นตัวเลขปัจจุบัน

“มาตรการขับเคลื่อนอื่นๆ ของ JLL Thailand มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมจากพนักงาน โดยได้มอบกล่องบรรจุอาหารกลางวันและแก้วกาแฟแบบใช้ซ้ำ ให้พนักงาน เปิดตัวระบบการโดยสารร่วมกัน (Carpooling System) เพื่อลดการใช้รถยนต์ของบริษัทลง 40% และลดการสร้างคาร์บอนลง รวมทั้งการจัดกิจกรรมที่ครอบคลุม​เรื่องของความหลากหลาย การเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม และการมีความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) ซึ่งในปี 2566 เจแอลแอลจัดอีเวนต์ไปมากกว่า 40 งาน พร้อมวางแผน​ต่อยอดความสำเร็จในปีนี้ ผ่านกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนใหม่​ๆ ตลอดปี ​รวมไปถึงการนำรถยนต์ไฮบริดมาใช้เพื่อลดการปล่อยมลพิษลงประมาณ 20% การเปิดตัวโครงการ “Zero Waste to Landfill” และการให้บริการบาริสต้าเพื่อลดปริมาณการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวของพนักงานเจแอลแอลและลูกค้าในแต่ละวัน” 

คุณ​อนาวิเจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา JLL Thailand กล่าวว่า ​การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนถือเป็นก้าวสำคัญในการกำหนดนิยามใหม่สำหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และพลิกโฉมอาคารจากการบริโภคพลังงานแบบเชิงรับไปสู่การมีส่วนร่วมในการผลิตพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่

“ข้อได้เปรียบสำคัญในการผสาน​หลักการ ESG เข้ากับการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วยการดึงดูดลูกค้าและรักษาความสัมพันธ์กับผู้เช่าด้วยเป้าหมาย ESG ผลต่างระหว่างผลตอบแทน (Green Premium) จากค่าเช่าและมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้ การลดความเสี่ยง และการทำให้สินทรัพย์ก้าวทันตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งภูมิภาคเอเชียให้ความสำคัญกับแนวคิด ESG อย่างชัดเจน  โดยความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนส่งผลต่อการตัดสินใจต่อสัญญาเช่าเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังคาดว่าความต้องการพื้นที่ปล่อยคาร์บอนต่ำยังมีส่วนในการพิจารณาต่ออายุสัญญาเช่ากว่า 70% ภายในปี 2571 ซึ่งชี้ถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ ESG ในการตัดสินใจด้านอสังหาริมทรัพย์ และถึงแม้ว่าดีเวลลอปเปอร์จะมุ่งเน้นที่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการสร้างอาคาร แต่ผลกระทบจากการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ มักถูกมองข้ามไป ในปัจจุบันนี้ ผู้ใช้อาคารกว่า 70% ในประเทศไทยที่ทำแบบสำรวจระบุว่า การลงทุนในการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในสำนักงานของตนนั้นยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยด้านความยั่งยืนที่ท้าทายที่สุด”

ด้าน คุณณัฐภูมิ วิทวัสชุติกุล หัวหน้าแผนกบริการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประจำประเทศไทย JLL Thailand กล่าวว่า การรวมแนวคิด ESG เข้ากับการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการทำสิ่งดี ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการตัดสินใจที่ดีด้วย เนื่องจากผลประโยชน์ทางการเงินนั้นมีความชัดเจน โดยผู้ประกอบการจะสามารถประหยัดต้นทุนได้มากถึง 6% ของรายได้ต่อปีผ่านการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการลดของเสีย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเรามองไปถึงปี 2571 ความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนของบริษัทจะมีผลต่อการตัดสินใจต่ออายุสัญญาเช่าอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่จะทำให้เจ้าของและนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์หันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อโลกของเราเท่านั้น แต่เพื่อผลกำไรของพวกเขาเองด้วยเช่นกัน

“เจแอลแอล ให้บริการดูแลทรัพย์สินของลูกค้าหลายรายที่สามารถบูรณาการแนวคิด ESG ได้สำเร็จ รวมไปถึงสำนักงานของเจแอลแอลเอง ซึ่งได้รับการออกแบบและจัดการตามมาตรฐาน LEED และ WELL กรณีศึกษาอื่นๆ จากลูกค้าของเจแอลแอล ประเทศไทย ที่เป็นแบบอย่างความสำเร็จด้าน ESG ได้แก่ One Bangkok, Park Silom, Park Ventures และ Sathorn Square อาคารต่าง ๆ เหล่านี้นับเป็นตัวอย่างด้านความยั่งยืน โดยได้รับการรับรองอย่าง LEED และ WELL ซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบที่ยั่งยืน กรณีศึกษาเช่นว่าแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกของ ESG ต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความพึงพอใจของผู้เช่า และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม”


ขณะที่ภาพรวมการแข่งขันด้านความยั่งยืนของอาคารเป็นไปอย่างเข้มข้นมากขึ้น JLL ยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ต่อแนวคิด ESG และภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำด้วยการเป็นตัวอย่างที่ดีในวงการอสังหาริมทรัพย์ แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่สำหรับ JLL เท่านั้นที่จะดำเนินการตามลำพังเท่านั้น เพราะสิ่งสำคัญคือการร่วมมือกับลูกค้า หุ้นส่วนทางธุรกิจ และชุมชนต่าง ๆ เพื่อพลิกโฉมบริการอสังหาริมทรัพย์และกำหนดทิศทางอนาคตให้กับวงการนี้เพื่อโลกที่ดียิ่งขึ้น

นอกจากการเป็นตัวอย่างที่ดีในด้าน ESG แล้ว โครงการและแผนงานต่าง ๆ ในอนาคตของเจแอลแอลยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของบริษัทที่มีต่อความยั่งยืน โดยเน้นย้ำบทบาทของอสังหาริมทรัพย์ในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้โลกมีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

Stay Connected
Latest News