Top StoriesTrending

กรมบัญชีกลาง เร่งผลักดันแผน ‘จัดซื้อจัดจ้างสีเขียวภาครัฐ’ คาดดันเข้า ครม. ในปีงบประมาณนี้ พร้อมประกาศใช้​ได้ทันปีงบประมาณหน้า

กรมบัญชีกลาง เร่งผลักดันแผน 'จัดซื้อจัดจ้างสีเขียว' คาดเริ่มประกาศใช้ใน​ปีงบประมาณ 2569 ชี้สร้างโอกาสผู้ผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขยายตลาดหน่วยงานภาครัฐ พร้อม​ช่วยประเทศลดต้นทุนระยะยาว

การจัดซื้อสีเขียว (Green Procurement) ช่วย​ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ​ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสู่กระบวนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน​ของทุกภาคส่วน

องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD : Thailand Business Council for Sustainable Development) จึงร่วมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI : Thailand Environment Institute) จัดงานสัมมนา ‘Net Zero ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน’  เพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน พร้อมส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

คุณแพตริเชีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง ​(CGD) กล่าวในงานสัมมนา ‘Net Zero ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน’ ผ่านหัว​ข้อ ‘บทบาทกรมบัญชีกลางกับการสนับสนุนการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ​โดยระบุว่า กรมบัญชีกลางมีเป้าหมายในการดำเนินนโยบายขับเคลื่อนภาครัฐให้เป็นภาครัฐสีเขียวและยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันกรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Public Procurement Framework) เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น  โดยวางกรอบผ่านการกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Product) พร้อมหน่วยงานนำร่องและรายการสินค้าที่สนับสนุนในปีแรกและระยะต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติได้ทันในปีงบประมาณ 2568 นี้ เพื่อสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ 2569

ทั้งนี้ ปัจจุบันมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ เฉพาะในส่วนที่ดำเนินการผ่าน พรบ.จัด​ซื้อจัดจ้าง มีสัดส่วนราว 7% ของ GDP ประเทศ หรือคิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท แต่หากรวมการจัดซื้อจัดจ้างในรูปแบบ PPP รวมทั้งการซื้อโดยใช้เงินนอกงบประมาณ คาดว่าจะสูงถึง 10% ขณะที่มูลค่า​การจัดซื้อของภาครัฐในส่วนที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Public Procurement) ตามข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ อยู่ที่ราว 800 ล้านบาท ซึ่งยังมีช่องว่างเป็นโอกาสในการเพิ่มสัดส่วน Green Procurement ของภาครัฐได้อีกมาก เพื่อสามารถตอบโจทย์เป้าหมายของประเทศไทย ทั้​ง​การ​ขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ​2593 ​การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ในปี 2608 ​รวมทั้งบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ในปี  2573 ตามที่ได้ทำข้อตกลงไว้ในเวทีโลก

“กรมบัญชีกลางวาง Framework และ Milestone เพื่อวางแผนการเปลี่ยนผ่านในการบังคับใช้ทั้งกับหน่วยงานทั้งหมด รวมทั้งหน่วยงานนำร่อง ที่อยู่ใน Ecosystem ของกลุ่มที่ต้องขับเคลื่อนเพื่อผลักดัน ​ ทั้งกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และกระทรวงทรัยพากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นต้น โดยวางประเภทกลุ่มสินค้า และรายการสินค้า ที่ต้องจัดซื้อแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และขยับเพิ่มมากขึ้นในปีต่อๆ ไป ซึ่งต้องขับเคลื่อนควบคู่ไปกับกระบวนการเพื่อสามารถรายงาน และวัดผลอย่างจับต้อง​เป็นรูปธรรมได้​”

คุณแพตริเซีย กล่าวเพิ่มว่า การขับเคลื่อนสู่การเป็นภาครัฐสีเขียว ยังช่วยลดต้นทุนให้ประเทศในระยะยาวได้ แม้อาจจะต้องแบกรับต้นทุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน ​แต่ที่สุดแล้วจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และลดความเสี่ยงต่อค่าธรรมเนียมต่างๆ โดยเฉพาะในหลายประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน ส่วนเป้าหมายที่กรมบัญชีกลางคาดหวังในการขับเคลื่อน Green Public Procurement คือ การเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของหน่วยงานรัฐเพิ่มมากขึ้นทุกปี การสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เช่น การเลือกซื้อสินค้าที่สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายในธรรมชาติได้

ขณะเดียวกัน ยังมีส่วนช่วยให้กลุ่มผู้ผลิตสินค้าหันมาผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น จากการขับเคลื่อนดีมานด์จากฝั่งภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น  เป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่ต้องการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มหน่วยงานภาครัฐเพิ่มมากขึ้นด้วย รวมทั้ง​โอกาสในการขยาย Product Lists สำหรับการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อเพิ่มทางเลือกกลุ่มสินค้าสีเขียว ที่มีราคาแข่งขันได้ โดยเฉพาะในสินค้าบางรายที่สามารถได้รับการรับรองมาตรฐานสากลต่างๆ ได้แล้ว  ต่อการมีมาตรการเพื่อสามารถได้รับการรับรองมาตรฐานในประเทศ โดยไม่ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด เพื่อลดทั้งค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการ และเพิ่มสินค้าทางเลือกสำหรับ Green Public Procurement ได้มากขึ้น  นอกจากนี้ ยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและลดความเสี่ยงในระยะยาวจากการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนที่จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย

“​​ความท้าทายในการขับเคลื่อน Green Public Procurement  คือ การระมัดระวังเรื่องของการฟอกเขียว หรือ Green Washing รวมทั้งการหาช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อหาทางหลบเลี่ยง ซึ่งจะนำมาสู่ปัญหาอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบตามมา​เป็นลูกโซ่  ซึ่งเป็นสิ่งที่​ผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมต้องหาวิธีรับมือ ขณะที่ภาครัฐเองก็ต้องไม่กลายเป็นอุปสรรคในการผลักดันหรือขับเคลื่อน แต่ต้องสามารถสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแล และควบคุม แต่ต้องไม่กลายเป็นอุปสรรค เพื่อให้สามารถสปีดและเกิดการขับเคลื่อนร่วมกันได้อย่างบูรณาการ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็น  Green Economy ได้อย่างแท้จริง”