DialogueTop Stories

เพิ่มโอกาสประเทศไทย จาก ‘กุ้งคาร์บอนต่ำ’ ไทยยูเนี่ยนเชื่อม Blue Finance ขับเคลื่อนความยั่งยืนระบบนิเวศ Aquaculture

การส่งเสริมความยั่งยืนในฟาร์มเลี้ยงกุ้ง จะช่วยสร้างโอกาสให้ประเทศ จากดีมานด์ความต้องการสินค้าคาร์บอนต่ำของตลาดโลก จึงเป็นโอกาสให้เกษตรกรทั้งยอดขายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยลดต้นทุนหลักอย่างค่าพลังงานให้ลดลงได้ด้วย

ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกของโลก ที่มีการนำร่องขับเคลื่อนและส่งเสริมการทำฟาร์ม ‘กุ้งคาร์บอนต่ำ’ (Low Carbon Shrimp) ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสร้างโอกาสให้ทั้งประเทศไทยในฐานะผู้ผลิต รวมทั้งยังช่วยเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ทั้งมิติการลดต้นทุนการเพาะเลี้ยง จากการพัฒนาเทคโนโลยี โดยเฉพาะการนำพลังงงานทดแทนเข้ามาใช้ ที่นอกจากลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า ยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานลงได้​ราว 10%

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU  ผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกรวมทั้งตัวแทนของภาคเอกชน ที่เป็นกำลัง​สำคัญในการ​ขับเคลื่อนโครงการ Shrimp Decarbonization Project หรือการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์ (CF) จากกระบวนการเพาะเลี้ยงกุ้ง ​ซึ่งช่วยทั้ง​​​ลดการปล่อย CF ในสโคป 3 ของธุรกิจ รวมทั้งยังเป็นการเร่งขับเคลื่อนเป้าหมาย ตามกลยุทธ์ SeaChange ทั้งมิติของการส่งเสริมการทำประมงอย่างยั่งยืน และบรรลุ Net zero ตลอดทั้งซัพพลายเชนได้ภายในปี 2050

พร้อมฉายภาพการขับเคลื่อน และทำงานร่วมกันทั้งระบบนิเวศ ผ่านเวทีเสวนา  ‘Blue Financing and Aquaculture: Empowering the Sustainability Transition เจาะลึกโอกาสและกลไกความร่วมมือ เพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสู่ความยั่งยืน’  ซึ่งจัดขึ้นภายในงาน UN Global Compact NetworkThailand หรือ GCNT Expo 2025 โดยมีตัวแทนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร รวมทั้งภาคการเงิน สะท้อนความร่วมมือในการเปลี่ยนผ่าน  ทั้งด้านนวัตกรรม และการลงทุน ​พร้อมต่อยอดในการเข้าถึง Blue Finance ​เพื่อส่งเสริมการลด CF ใน​ฟาร์มกุ้ง

คุณภาณุ บุญทรง ผู้จัดการฝ่ายความยั่งยืนส่วนงานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ TU กล่าวว่า การส่งเสริมกุ้งคาร์บอนต่ำ เป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนตาม​กลยุทธ์ SeaChnage เพื่อสามารถบรรลุ Net Zero ได้ทั้งซัพพลายเชน โดยเฉพาะการลดคาร์บอนในสโคป 3 ที่มีสัดส่วนราว 90% โดยธุรกิจกุ้งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ทำรายได้ให้ TU ราว 20-30% ขณะที่ CF จากการเลี้ยงกุ้ง ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าการผลิตสัตว์ทะเลประเภทอื่นๆ รวมทั้งสูงกว่าการผลิตโปรตีนจากหมู หรือไก่ การส่งเสริม Decarbonization ในฟาร์มกุ้ง จึงเป็น​หนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ TU เข้าใกล้เป้าหมาย Net zero ได้ตามที่วางไว้ ​โดยตั้งเป้าลด CF ให้ลดลงจากกระบวนการเลี้ยงกุ้งได้ราว​​ 25-35%

“คาร์บอฟุตพรินท์จากการ​เลี้ยงกุ้ง​ส่วนใหญ่มาจากอาหารกุ้ง และกระบวนการบริหารจัดการในฟาร์ม โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้าเพื่อเติมออกซิเจนลงในบ่อกุ้ง ​​จึงต้องส่งเสริมให้เกษตรกรเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ามา​​ทดแทนการใช้กระแสไฟฟ้าในช่วงกลางวันให้ได้ถึง 80%  ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อจำกัดที่ต้องมีการลงทุนสูง และทาง TU ต้องมีโซลูชั่นเพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาด​ เพื่อลดทั้งคาร์บอนและต้นทุนในการผลิต ส่วนในระดับอาหารจะเน้นการเลือกแหล่งวัตถุดิบที่ไม่มีการทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อ​ลด CF จากการเลี้ยงกุ้งให้ได้มากที่สุด ซึ่งหากทำได้ เชื่อว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตให้อุตสาหกรรมกุ้งไทย ​ขยายตัวได้อีกครั้ง หลังตลาดกุ้งไทยในช่วงหลายปีมานี้ลด​ลงกว่าครึ่งจากที่เคยผลิตกว่าปีละ 6 แสนต้นต่อปี เหลือราว 3 แสนตันต่อปี จากความสามารถในการผลิตกุ้งคาร์บอนต่ำ ที่เราเป็นประเทศนำร่อง ขณะที่​ความต้องการสินค้าคาร์บอนต่ำมีดีมานด์ในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

คุณ​มนทกานติ ท้ามติ้น ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง ในฐานะตัวแทนภาครัฐ กล่าวถึงการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนในกลุ่ม Aquaculture หรืออุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยว่า อุปสรรคสำคัญ​ของเกษตรกรในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน คือ ต้นทุนสูง  และการขาดสภาพคล่องของเกษตรกร แต่หากมีการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต จะช่วยลดต้นทุนสำคัญในการจัดการฟาร์มลงได้ จากต้นทุนเฉลี่ยในการเลี้ยงกุ้งอยู่ที่ 23 บาทต่อกิโลกรัม มาจากอาหารราว 40% และ 58% เป็นค่าพลังงาน หากมีการส่งเสริมให้นำพลังงานทางเลือก หรือพัฒนานวัตกรรมเพื่อสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยทั้งการลดคาร์บอนและลดต้นทุนให้เกษตรกรลงได้

“ประเทศไทยมีเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการเงิน โดยโครงการที่สอดรับกับนโยบายระดับชาติ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตในฟาร์มเกษตร โดยมุ่งเน้นแนวทาง​ตามธรรมชาติ หรือ Nature-based Solutions ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกที่ส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งคาร์บอนต่ำ ภายใต้การรับรองการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานกำกับอย่าง TGO และ FAO ซึ่งนำร่องใน 2 จังหวัด คือ ฉะเชิงเรา และจันทบุรี และหากสำเร็จจะขยายพื้นที่ต่อไป​ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอกาสของประเทศต่อไปในอนาคต” 

ด้านตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง คุณพลชาติ เหลืองนฤมิตรชัย เจ้าของฟาร์มกุ้งอนันตฟาร์ม  กล่าวว่า การส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งคาร์บอนต่ำเป็นทางออกในการเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะหากไม่มีระบบการจัดการที่ดี ประกอบกับปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กุ้งอาจเกิดโรคระบาด กระทบต่อทั้งต้นทุนและรายได้ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ฟาร์มเองต้องปรับตัว

“ในส่วนของทางฟาร์มได้มีการลงทุนเพื่อติดตั้งโซลาร์เซ​​ลล์ทดแทนการใช้ไฟฟ้า ทำให้ช่วยประหยัดค่าไฟลงได้เดือนละ 4 หมื่นกว่าบาท หรือราว 10% ของค่าไฟที่เคยจ่ายเดือนละ 4 แสนกว่าบาท ขณะที่กำไรของฟาร์มกุ้งจะเฉลี่ยอยู่ที่ 20% ดังนั้น 10% ที่ลดลงได้นี้ ไม่เพียงลดรายจ่ายลง แต่ยังช่วยเพิ่มให้มีกำไรใหม่เพิ่มมากขึ้น 50% อีกด้วย ดังนั้น การพัฒนาสู่การการเลี้ยงกุ้งแบบคาร์บอนต่ำ จึงเป็นการมอบทั้งทิศทาง และเครื่องมือที่แข็งแรงในการทำธุรกิจ ภายใต้ความร่วมมือในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากทุกฝ่าย ซึ่งนอกจากการพัฒนาเรื่องการลดคาร์บอนแล้ว ในอนาคตอาจต่อยอดสู่พันธุ์กุ้ง อาหารกุ้ง หรือรูปแบบการเลี้ยง ที่กำลังขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรมที่เชิง​ Wellness และ Longevity ควบคู่กับ​การพัฒนา Negative Carbon Product ​ซึ่งจะช่วยสร้างโปรดักต์ใหม่และโอกาสใหม่ให้ผลิตภัณฑ์ของไทย ที่แม้อาจจะไม่ได้มีตลาดที่ขนาดใหญ่มาก แต่เป็นสิ่งที่ตลาดต้องการอย่างแท้จริง”

ขณะที่ผู้สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสำคัญจากฟากการเงิน คุณฝนทิพย์ ยุทธเสรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (ที่ปรึกษา) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) กล่าวว่า สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งส่งผลเสียต่อฟาร์มกุ้ง เช่น การเกิดโรคระบาด หรือกุ้งมีภูมิต้านทานต่ำลง หรือกรณีน้ำท่วมฟาร์ม อาจทำให้เสียปริมาณกุ้งไป ​หรือถ้าน้ำแล้งก็ต้องปั๊มน้ำเพิ่ม​ข้าฟาร์มทำให้มีต้นทุนเพิ่มมากขึ้น​ แต่ขณะเดียวกัน จะทำให้ความต้องการสินค้ารักษ์โลกเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสที่ดีของกุ้งคาร์บอนต่ำ รวมทั้งสินค้าเกษตรยั่งยืนอื่นๆ ด้วย

“ADB มุ่งให้การสนับสนุนโซลูชันทางการเงินที่ยั่งยืนทั้ง Green และ  Blue ในรูปแบบทั้งหุ้นกู้ หรือสินเชื่อ เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการเปลี่ยนผ่าน โดยแนะนำการวางกรอบในการขับเคลื่อนกิจกรรม เพื่อเป็นไปตามเกณฑ์ในการเข้ามาสนับสนุนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งในมิติทางสังคมด้วย ซึ่งครอบคลุมเรื่องของ Aquaculture ด้วย ซึ่ง Blue Finance มีศักยภาพมากพอที่จะพลิกโฉมแนวปฏิบัติสำหรับอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงทรัพยากรทางทะเล การจัดสรรเงินทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล จะช่วยให้เกษตรกรสามารถพัฒนาแนวทางการดำเนินงานในแบบที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกร ธุรกิจสังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพได้ดียิ่งขึ้น”

สำหรับนโยบายด้าน Sustainable Financing ของทาง TU  คุณยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน TU กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยน วางทิศทางในการจัดหาเงินทุนเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนการเติบโต ทั้งในรูปแบบของหุ้นกู้ (Bond) หรือสินเชื่อ (Loan) ให้เชื่อมโยงกับแผนดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดนตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน Sustainable Finance ในธุรกิจเพิ่มเป็น 75% ภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มเป็น 100% ภายในปี 2030 โดยเฉพาะกลไกผ่าน Blue Finance ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมายบรรลุ Net zero ทั้งซัพพลายเชน ได้ตามกลยุทธ์ SeaChange  ​รวมทั้งการบรรลุ​ข้อตกลงตามกรอบเงื่อนไขของ Blue Finance ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก การดูแลระบบนิเวศ ไปจนถึงการจัดหาและทำประมงอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน เป็นต้น

“ไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก เรามีเป้าหมายในการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้ผ่านหลากหลายพันธกิจ และเราเชื่อว่า Blue Finance อันหมายถึงกลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้กับท้องทะเล จะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนการนำองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีมาใช้สร้างความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม และส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจสีน้ำเงินหรือ Blue Economy ”

ทั้งนี้  โครงการนำร่องฟาร์มกุ้งคาร์บอนต่ำของไทยยูเนี่ยนเริ่มเผยให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยกุ้งจากโครงการมีวางจำหน่ายแล้วผ่านผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ภายใต้แบรนด์ Chicken of the Sea ภายใต้ความร่วมมือกับ The Nature Conservancy (TNC), Ahold Delhaize USA และ Whole Foods Market โครงการนี้ช่วยให้ฟาร์มกุ้งที่เข้าร่วมสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านแนวปฏิบัติที่ทำได้จริงและอ้างอิงอยู่บนหลักวิทยาศาสตร์ เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิต พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กุ้งจากโครงการสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงการจัดส่ง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ากุ้งที่ตนบริโภคนั้นมาจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน