ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) วิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย ยังมีความท้าทายในระดับสูง โดยเฉพาะหากพิจารณาภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emisisons) ของประเทศไทย ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น หากต้องการให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ การช่วยภาคธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านด้าน Decarbonization จึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม High Emissions หรือกลุ่มที่มีการปล่อยก๊ซเรือนกระจกในระดับสูง เพราะหากเปลี่ยนผ่านกลุ่มเหล่านี้ได้สำเร็จจะมีผลในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในภาพรวมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
CIMB Thai จึงต้องการเข้ามาเป็นหนึ่งทางเลือกเพื่อช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้วยการพัฒนา ‘Sustainability360’ ซึ่งเป็นบริการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นที่ปรึกษาให้ภาคธุรกิจในการขับเคลื่อน Net Zero Pathways ได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตามแนวทาง Sustainable Finance
คุณเจสัน ลี ผู้บริหารฝ่ายความยั่งยืน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ( CIMB Thai) กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ปัญหาในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจไทย มาจาก 2 Pain point สำคัญ ได้แก่ เรื่องของเงินทุน (Capital) และเทคโนโลยี (Technology) ในการเปลี่ยนผ่าน รวมไปถึงการวิเคราะห์และจัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านเชิงเทคนิคและการปฏิบัติตามหลัก Taxonomy นำมาสู่การพัฒนา Sustainability360 ที่มุ่งอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจในการระดมทุนและการขอสินเชื่อสีเขียวจากสถาบันการเงิน ภายใต้การให้บริการแบบ One Stop ทั้งการให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค การวางกรอบหรือแนวทางในการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อเข้าถึงเงินทุน รวมทั้งเทคโนโลยีในการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ไปจนถึงการประเมินปัจจัยต่างๆ ที่ต้องคำนึงถึงในการดำเนินกิจกรรมหรือ Green Projects ต่างๆ ว่าส่งผลกระทบเชิงลบต่อปัจจัยแวดล้อมในมิติอื่นๆ หรือไม่ รวมทั้งการปฏิบัติตามกฎหมายหรือข้อกำหนดด้านความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศ และภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้ทั้ง Green Transition โดยที่ยังรักษาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไว้ได้ด้วย

“การเพิ่มบริการ Sustainability360 ของ CIMB Thai สามารถตอบโจทย์การสนับสนุนลูกค้าในการจัดทำเอกสารทางเทคนิคสำหรับรูปแบบการออกตราสารหนี้และการขอสินเชื่อ โดยเอกสารดังกล่าวผ่านการรับรองความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ (Second Party Opinion: SPO) ที่สอดคล้องกับมาตรฐานและแนวปฏิบัติทั้งในระดับประเทศและระดับสากล รวมทั้งสอดคล้องกับแนวทาง Taxonomy และสนับสนุนโอกาสด้านพลังงานสะอาดจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) อย่างใกล้ชิด พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ตามที่ธนาคารกำหนด เพื่อร่วมขับเคลื่อนภาคธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน บริการ Sustainability360 จึงช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าครบจบในที่เดียวเป็น One Stop Service ในโซลูชันเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน”
ทั้งนี้ CIMB Thai โฟกัสเป้าหมายในเฟสแรกของการให้บริการใน 3 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้า, น้ำมันและก๊าซ รวมทั้งการผลิตปูนซีเมนต์ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง (High Emission) และเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการเงินทุนสนับสนุนในการปรับโครงสร้างการผลิต ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงเพื่อมาใช้ในการลดคาร์บอน เช่น เทคโนโลยีดูดกลับคาร์บอน หรือพลังงานสะอาดต่างๆ โดยมองดีมานด์ด้าน Green Finance ของอุตสาหกรรมในกลุ่มเป้าหมายนี้เพื่อลดคาร์บอนและเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจ Low Carbon จนถึงปี 2026 อยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลูกค้ามีการระดมทุนผ่านตราสารหนี้และสินเชื่อแล้วราว 50% และคาดว่าดีมานด์จากกลุ่มเป้าหมายจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2030
“ธนาคารฯ มีแผนเพิ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อช่วยการเปลี่ยนผ่านในปีหน้าเพิ่มอีก 1 กลุ่ม โดยยังโฟกัสในกลุ่มที่เป็น High Emissions และมีซัพพลายเชนที่ค่อนข้างยาว โดยจุดแข็งและความแตกต่างของ CIMB คือความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือเชิงเทคนิค ที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะ ทั้งความเข้าใจด้าน Decarbonization ทั้งในมิตของเทคโนโลยี รวมทั้งการใช้กระบวนการตามธรรมชาติ หรือ Nature-based Solutions การเข้าใจข้อกฎหมายและเงื่อนไขทางการค้าในแต่ละตลาดเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งการทำงานร่วมกับนักบัญชีคาร์บอนทำให้สามารถประเมินปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินท์ รวมทั้งการรับรองโครงการว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ภายในจุดเดียว พร้อมให้คำแนะนำด้านการเงินเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินยั่งยืน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุนที่หลากหลาย และเพิ่มประสิทธิภาพในการเปลี่ยนผ่านได้มากยิ่งขึ้น”

คุณเจสัน กล่าวต่อว่า สำหรับการขับเคลื่อน Sustainable Finance ของ CIMB Thai ปัจจุบันสามารถขับเคลื่อนได้ราว 4% ของพอร์ตโฟลิโอ จากการสนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยทั้งการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในมิติต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนตามกรอบ ESG พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% ของพอร์ตโฟลิโอ ภายในปี 2030 โดยเน้นการทำงานร่วมกับกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในมิติการลดก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากสามารถช่วยสร้างให้เกิดอิมแพ็คได้ในการเปลี่ยนผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์ระดับประเทศได้ ทำให้การขับเคลื่อน Sustainability360 ไม่เพียงช่วยลูกค้าธนาคารเปลี่ยนผ่านได้เท่านั้น แต่ยังช่วยการขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero 2050 ของประเทศไทย ให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีนัยสำคัญ






