Top StoriesTrending

‘ศุภชัย’ มั่นใจตลาดความยั่งยืน ‘จุดติด’ แม้เผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง ​เชื่อภาคธุรกิจไม่สั่นคลอน พร้อมแนะใช้กรอบ 7T เร่งเดินหน้า SDGs 2030​

'ศุภชัย เจียรวนนท์' เชื่อมั่นนโยบาย 'ความยั่งยืน' ของภาคธุรกิจไทย ไม่สั่นคลอน แม้เผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง มองตลาดจุดติด หลายเทคโนโลยีมาถึงจุดคุ้มทุนแล้ว ย้ำ​ศักยภาพประเทศไทย ผู้นำความยั่งยืนของอาเซียน

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (​GCNT​​) ​เครือข่ายด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ​ เปิดงาน ‘GCNT Expo 2025: Forward SDGs Faster Together – รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน’​ หวังสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่  ผนึกพลังภาคธุรกิจ คนรุ่นใหม่ และความร่วมมือข้ามภาคส่วน เร่งเดินหน้า SDGs 2030​

คุณศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT)  และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวระหว่างเปิดงาน ‘GCNT Expo 2025: Forward SDGs Faster Together – รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน’ ว่า โลกและประเทศไทยกำลังเข้าใกล้จุดวิกฤต (Breaking Point) เพราะเหลือเวลาอีกเพียง 5 ปี ตามกรอบที่ต้องบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs 17 ภายในปี 2030  แต่ขณะนี้ทั้งโลกสามารถบรรลุได้เพียง  18% ของเป้าหมายที่วางไว้​ นำมาสู่การจัดงานเพื่อสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมพลังในการก้าวไปข้างหน้าตามแนวคิด Forward SDGs Faster Together  

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนสู่โลกใหม่อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องคำนึงถึงความท้าทาย หรือวิกฤตโลกผ่านกรอบ 3D ได้แก่ Digitalization: การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ Deglobalization: โลกเริ่มแยกขั้วมากขึ้น ความร่วมมือระหว่างประเทศจึงต้องลึกและจริงใจยิ่งกว่าเดิม Decarbonization: การลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาโลก ซึ่งถือเป็น​ภารกิจเร่งด่วนของมนุษยชาติ

​นำมาสู่ความจำเป็นที่ต้องเร่งมือจริงจัง ตั้งเป้า วางแผน ลงมือปฏิบัติ ปละติดตามผล เพื่อให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ซึ่งการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนของประเทศไทย ถือว่ามีความหวังที่ดี เพราะสามารถเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคอาเซียนได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พร้อมนำเสนอ 7T ​เพื่อใช้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนให้เศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยต่อไป ประกอบด้วย  

1.Table : อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรมแห่งอนาคต,  2.Tourism:  การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้ จะช่วยส่งเสริมความโดดเด่นในเรื่องซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศไทยให้โดดเด่น

3.Tech : เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน 4. Trade : การค้า การบริการ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปสู่มิติการขนส่งและการเงิน 5. Talent: การลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกกลุ่ม ทุกวัย ทุกพื้นที่ ให้มีทักษะ เทคโนโลยีดิจิทัล และจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม และความยั่งยืน

6. Transition : การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม สู่เศรษฐกิจที่พึ่งพาพลังงานทดแทน ให้ความสำคัญกับเอสเอ็มอี และ 7. Trust : ​สร้างความเชื่อมั่น ความไว้เนื้อเชื่อใจ ต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม ด้วยความโปร่งใส หลักธรรมาภิบาล และระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็ง​

คุณศุภชัย กล่าวต่อว่า การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ต้องอาศัยการเปลี่ยนผ่าน 7 ด้าน หรือ 7 Transformations​ ครอบคลุมธรรมาภิบาล การพัฒนาคน การยกระดับดิจิทัล การศึกษาที่เท่าเทียม เศรษฐกิจโปร่งใส การมีส่วนร่วมของเยาวชน และความมั่นคง  โดยเฉพาะ​เรื่องเทคโนโลยี ที่มีหลายมิติที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นความต้องการพลังงานสะอาดจำนวนมหาศาล การกำกับดูแล​การใช้ AI เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนร่วม ขณะเดียวกัน สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ต้องมีการปรับตัวและเตรียมพร้อมเพื่อให้แรงงานรุ่นใหม่  สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้เต็มที่

“สถิติน่าสนใจจากนิตยสารฟอร์บส์ ฉบับเดือนเมษายน ที่ผ่านมา​ ระบุว่า การพัฒนา AI จะกระทบต่อตำแหน่งงานทั่วโลกกว่า 300 ล้านตำแหน่ง หรือราว 25%  (1 ใน4) ของตำแหน่งงานทั่วโลก  พร้อมคาดการณ์ว่าในปี 2045 ตำแหน่งงานทั่วโลกราวครึ่งหนึ่งจะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์  นอกจากนี้ AI ยังเป็นเหตุผลสำคัญในการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยเฉพาะ​ด้านกการเงิน กฏหมาย  ภายในปี 2035 หรือในอีกเพียง 10 ปีข้างหน้าเท่านั้น”​

สำหรับด้านธรรมาภิบาล  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (​SET) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีบทบาทสำคัญช่วยผลักดันให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ผ่าน ESG Ratings ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 1,200 บริษัท ถือเป็นการใช้กลไกตลาดสร้างความโปร่งใสและแข่งขันกันทำความดี พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงไปสู่บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียน​ตลอดทั้งห่วงโซ่ด้วย รวมทั้ง​การเร่งพัฒนา e-Government และส่งเสริม Digital ID กับ Cashless Society เพื่อลดขนาดของเศรษฐกิจใต้ดินซึ่งมีมูลค่ามากถึง​กว่า 50% ของ GDP

ส่วนการพัฒนาคน ควรส่งเสริมให้​ทุกคน​เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ พร้อมปลูกฝัง Growth Mindset และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยหน่วยงานสำคัญอย่างยูนิเซฟที่ช่วยสนับสนุนข้อมูลด้านทุนมนุษย์ พร้อมร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดตั้ง ‘หลักสูตรบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน’ ​ขยายผลสู่มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ พร้อมจัดตั้ง Learning Centers ทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังเป้าหมาย SDGs แก่เยาวชนผ่านการเรียนรู้ที่ลงมือทำจริง พร้อมระดมสมาชิกและภาคการศึกษาพัฒนานวัตกรรมจากชุมชน ปลุกพลัง Soft Power อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันประเทศไทย ​จะเผชิญกับหลากหลายความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ทั้งมิติเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง แต่มุมมองคุณศุภชัยเชื่อว่า จะไม่สั่นคลอนต่อการขับเคลื่อนนโยบายด้านความยั่งยืนของภาคเอกชน เพราะตอนนี้กลไกตลาดด้านความยั่งยืน ‘จุดติด’ แล้ว โดยมีหลายเทคโนโลยีที่สามารถแตะถึงจุดคุ้มทุนได้แล้ว เช่น การลงทุนในเรื่องของพลังงานทดแทน ที่​ช่วยให้ภาคธุรกิจประหยัดต้นทุนด้านพลังงานลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากภาคธุรกิจไม่ละความตั้งใจในการขับเคลื่อน  และขยายสเกลได้​เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดเป็นเศรษฐกิจใหม่ที่มีทั้งความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมส่งผลกระทบเชิงบวก ได้ตามเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบ SDGs 17 ส่งผลต่อการพัฒนาทั้งคุณภาพชีวิตที่ดีของทั้งสิ่งแวดล้อมและ​มนุษยชาติ

“แม้ภาพรวมการขับเคลื่อน SDGs ทั้งโลกจะขยับได้แค่ 18% แต่สำหรับประเทศไทย ค่อนข้างมีความหวังที่ดีเพราะเรายังสามารถรักษาความเป็นผู้นำในการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียนมาได้หลายปีติดต่อกัน  ทำให้เชื่อว่านโยบายในการขับเคลื่อนเรื่องนี้จะไม่สั่นคลอน เพราะเมื่อมาถึงจุดที่คุ้มทุนแล้ว ​แม้จะเผชิญ​ความเสี่ยงความท้าทายก็ยังคงขับเคลื่อนต่อ แต่อาจจะมีการปรับโฟกัสในบางเซ็คเตอร์  บางส่วนช้าลง ชะลอตัว ​​หรือหยุดลงทุนในบางส่วน​ เช่น เรื่องของการส่งออก ที่อาจต้องรอดูสถานการณ์​​ไปก่อน แต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ที่ยังขับเคลื่อนอยู่ เพื่อเป็นการทำเพื่อคนทั้งประเทศ และหากเราสามารถทำได้ดีก็จะสามารถขยายผลไปสู่ทั้งภูมิภาคหรือทั้งโลกได้ในที่สุด”​ คุณศุภชัย กล่าวทิ้งท้าย