ExperienceTop Stories

ไฮไลท์ GCNT EXPO 2025 มหกรรมรวมพลังเร่งสร้างโลกยั่งยืน ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs 2030

มหกรรมด้านความยั่งยืนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของปี GCNT EXPO 2025: Forward SDGs Faster Together โดย ‘สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย’ (GCNT) ในการเชื่อมโยง​ ‘ตัวจริงสายยั่งยืน’ ระดับแนวหน้า

พร้อมผนีกพลังภาครัฐ ภาคเอกชน นักคิดรุ่นใหม่ ศิลปิน เยาวชน และประชาชนทุกภาคส่วน​​ สร้าง​ความร่วมมือข้ามภาคส่วน เพื่อสร้างแรงกระเพื่อม เร่งขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของไทยให้ทันปี 2030 โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานรวม​กว่า 6,000 คน

งาน GCNT Expo 2025 จึง​เป็นปรากฏการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงพลังและบทบาทของภาคธุรกิจไทยในเวทีโลกด้านความยั่งยืน โดยมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจ ผลักดันการเปลี่ยนแปลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของมวลมนุษยชาติ ที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี

คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานเปิดงาน และตัวแทนจาก​ภาครัฐบาล กล่าวว่า​ GCNT Expo 2025 สะท้อนถึงพลังของภาคเอกชนไทย ในฐานะผู้นำการขับเคลื่อนภารกิจด้านความยั่งยืน พร้อมทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การบรรลุ SDGs อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

“แนวคิดเรื่อง SDGs ทั้ง 17 ข้อ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.. 2000 โดยมีการคาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นแตะ 8,000 ล้านคน ภายในไม่กี่ทศวรรษ ​ขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติยังคงมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเวที  GCNT EXPO 2025 สะท้อนความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และนำเสนอผลงานด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม  ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขนโยบายและกฎหมายให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน  การกำหนด​ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคอุตสาหกรรมแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม และการสร้างความตระหนักรู้​อย่างครอบคลุม  เพราะ ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากคนยังขาดความรู้และความเข้าใจ’ ดังนั้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นหัวใจสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ”​

ทั้งนี้ GCNT ยังทำหน้าที่เสมือนตัวแทนประเทศไทย ในการประกาศจุดยืน ความมุ่งมั่น และความรับผิดชอบต่อประชาคมโลกในการเร่งขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ​ผ่านการรวมพลังภาคเอกชนไทยเพื่อร่วมเปลี่ยนผ่านประเทศไทยและโลกไปสู่อนาคตที่สมดุลและยั่งยืนอย่างแท้จริง เนื่องจาก การพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศจะไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง หาก​ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย SDG ข้อที่ 16 ว่าด้วยการสร้างสันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง

คุณศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด  กล่าวว่า อีก 5 ปี จะถึงกำหนดที่ต้องบรรลุเป้าหมาย  SDGs 2030 ​ แต่ขณะนี้ทั้งโลกทำได้เพียง​ 18%  รวมทั้งยังขับเคลื่อนเข้าใกล้จุดวิกฤต และ​เผชิญความท้าทาย ทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น และบทบาทของเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนที่แรงงาน

คุณศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด 

จึงได้เสนอ 7Ts  หรือ 7 Transformations ซึ่งจะเป็นปัจจัย​สำคัญในการ​ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมจากนี้ไป  ได้แก่ 1. Table อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรมแห่งอนาคต สร้างความมั่นคงทางอาหารให้ประชากรโลก,  2. Tourism การขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน,  3. Tech เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ใช้นวัตกรรมเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, 4. Trade การค้า การบริการ การขนส่ง การเงิน ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง เป็นธรรมและทั่วถึง, 5. Talent การลงทุนในทุนมนุษย์ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเยาวชน ให้มีทักษะดิจิทัล และมีจิตสำนึกด้านความยั่งยืน,  6. Transition การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม สู่เศรษฐกิจสีเขียว ที่พึ่งพาพลังงานสะอาด คาร์บอนต่ำ และ 7. Trust การสร้างความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาล-เสริมสร้างความไว้วางใจในระบบเศรษฐกิจและสังคม

คุณแซนด้า โอเจียมโบ ผู้อำนวยการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร UN Global Compact (UNGC) กล่าวว่า ​ UNGC มีพันธกิจในการสร้างตลาดโลกที่มีจริยธรรม ครอบคลุม และยืดหยุ่น โดยปัจจุบันมีองค์กรธุรกิจเข้าร่วมแล้วกว่า 20,000 แห่ง จาก 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงภาคธุรกิจไทยกว่า 130 องค์กรสมาชิก GCNT ที่ร่วมขับเคลื่อนแนวปฏิบัติด้าน สิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต อย่างต่อเนื่อง

“โลกในวันนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุ SDGs 2030 ซึ่ง UNGC ​ยืนยันพันธกิจในการทำงานร่วมกับภาคธุรกิจทั่วโลก เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และครอบคลุมสำหรับทุกคน เพราะเมื่อธุรกิจรวมพลังกันอย่างเป็นระบบ และสามารถสร้างความร่วมมือแบบข้ามภาคส่วน  ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่จับต้องได้ในระดับโลก”​

คุณจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

คุณจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถา ​ตอกย้ำให้เห็นว่า Soft Power และแนวทาง ESG คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบ  SDGs โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างระบบสนับสนุน Soft Power อย่างครบวงจร ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ตั้งแต่การลงทุนในคนไทยผ่านโครงการ One Family One Soft Power (OFOS) การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์  ไปจนถึงการพาผลงานของคนไทยสู่ตลาดโลก​

“Soft Power ของไทยมีศักยภาพสูง ทั้ง​ด้านอาหาร ดนตรี การออกแบบ การแพทย์แผนไทย และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยสามารถนำมาใช้เชื่อมโยงกับเป้าหมาย SDGs อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง​ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจไทยที่ยึดมั่นในหลักการของ UN Global Compact จะเป็นพลังสำคัญในการสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน และมีคุณภาพ ขณะที่พลังของ Soft Power คือพลังสร้างสรรค์ที่จะพาไทยก้าวข้ามความท้าทาย และบรรลุเป้าหมาย SDGs ได้อย่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง”​ 

ผู้นำองค์กร​ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ สะท้อนพลังภาคเอกชน

ภายในงานยังได้รับเกียรติจากผู้นำองค์กรชั้นนำของประเทศจากหลากหลายอุตสาหกรรม ร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน​ในฐานะผู้มีบทบาทและพลังขับเคลื่อนสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่อนาคตที่สมดุลทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม   ทั้งแนวคิด นวัตกรรม และบทเรียนจากการลงมือทำจริง ซึ่งล้วนเป็นแรงบันดาลใจและจุดประกายให้ทุกภาคส่วนเร่งเดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน

คุณสมเจตนา ภาสกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสด้านพัฒนาความยั่งยืน บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี)

คุณสมเจตนา ภาสกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสด้านพัฒนาความยั่งยืน บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) ระบุว่า  กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของเครือซีพีมุ่งเน้นภายใต้กรอบ 3Hs: Heart, Health, Home  ซึ่งทำหน้าที่เป็นเข็มทิศกำหนดทิศทางให้กับทั้ง 8 กลุ่มธุรกิจหลักของเครือในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายสำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทาน เรื่อง Carbon Neutrality​ และ Net Zero​ ​ที่ได้ศึกษาและวางรากฐานตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่า หาก​ลดคาร์บอนลงได้ปีละ 10% ในแต่ละกระบวนการ จะสามารถแปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 63 ล้านบาท และหากสามารถขยายผลให้คู่ค้าลดคาร์บอนได้เช่นกัน ผลลัพธ์ก็จะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ​

“การปรับตัวขององค์กรให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต​ จำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนภายใต้ Framework 5 ข้อ ได้แก่ 1) ความโปร่งใส (Transparency) 2) การใช้กลไกตลาด (Market Mechanism) 3) ภาวะผู้นำและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Leadership & Talents) 4) การเสริมพลังให้กับพันธมิตร (Empowerment) และ 5) การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology) ซึ่งการดำเนินธุรกิจปัจจุบันต้องทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม (Stakeholders) เห็นถึงศักยภาพขององค์กรในการบริหารความเสี่ยงตลอดห่วงโซ่คุณค่า การเพิ่มประสิทธิภาพ และการขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างจริงจัง ซึ่งเครือซีพี มุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจ และวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

มร.ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

มร.ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์เรื่อง “การใช้ข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน สังคม และธรรมาภิบาล” โดยระบุว่า  ข้อมูลและเทคโนโลยีไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ แต่ยังสามารถสร้างคุณูปการต่อโลกและผู้คนได้อย่างลึกซึ้ง ภายใต้แนวคิด Data for a Greener Planet​ โดยกลุ่มทรูเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด จากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนเสาสัญญาณกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ ควบคู่การใช้ AI เพื่อบริหารจัดการพลังงานอย่างชาญฉลาด ช่วยลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึงครึ่งหนึ่ง และลดการปล่อยคาร์บอนลงได้กว่า 14,000 ตันต่อปี พร้อมตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ในปี 2030 และ Net Zero ภายในปี 2050

“ในมิติสังคม กลุ่มทรูใช้ข้อมูลการเดินทางแบบไม่ระบุตัวตน (Mobility Data) ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองรอง ลดผลกระทบจากปริมาณนักท่องเที่ยวเกินขนาด และเคยนำมาใช้วางแผนการแจกจ่ายวัคซีนช่วงโควิดอย่างแม่นยำ ขณะที่ด้านธรรมาภิบาล ทรูพัฒนา AI บนหลักความโปร่งใส เคารพสิทธิส่วนบุคคล และความเป็นธรรมทางวัฒนธรรม โดยมี Mari-AI แชทบอตเป็นตัวอย่างของระบบที่ให้บริการกว่า 22 ล้านธุรกรรมต่อเดือน โดยไม่ขายข้อมูลลูกค้า ตอกย้ำบทบาทขององค์กรที่มุ่งใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและเท่าเทียมสำหรับทุกคน”

คุณกอบบุญ ศรีชัยผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF

คุณกอบบุญ ศรีชัยผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ขึ้นเวที Keynote Pioneers of Purpose: Redefining Global Competitiveness Through Sustainable Food Leadership ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ว่า ปัจจุบันองค์กรต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนผ่าน 5 ปัจจัย เพื่อยืนหยัดในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ตั้งแต่การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม การนำนวัตกรรมมาแปรรูปของเสียให้เกิดคุณค่า เช่น การใช้เปลือกไข่ผลิตปุ๋ยชีวภาพ และการนำน้ำมันใช้แล้วจากร้านห้าดาวมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ ไปจนถึงการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น (Glocalization) การขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือทุกภาคส่วน และการยึด ‘คน‘ เป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลง โดยย้ำว่าความยั่งยืนต้องฝังอยู่ใน DNA ขององค์กร ไม่ใช่เพียงเป้าหมายปลายทาง แต่คือการลงมือทำด้วยใจ และเดินไปด้วยกันอย่างมีพลัง เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง  

คุณศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CP Axtra

คุณศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CP Axtra ระบุถึงเป้าหมายความยั่งยืนที่เกี่ยวเนื่องกับขยะ หรือเป้าหมาย SDG 12 การบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน ว่า ​การจัดการขยะ โดยเฉพาะขยะอาหาร เป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของทั้งประเทศไทยและโลก โดยขยะอาหารทั่วโลกมีมากถึง 1,000 ล้านตันต่อปี และในประเทศไทยสูงถึง 1 ล้านตันต่อปี ซึ่งยังไม่รวมขยะประเภทอื่น ๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิตและจำหน่ายสินค้า การเปลี่ยนมุมมองจากขยะ ให้กลายเป็นโอกาส จึงเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน ซึ่ง CP Axtra  ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการขยะในห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ คือกลุ่มเกษตรกรพันธมิตรกว่า 2,000 ราย ไปจนถึงปลายน้ำ​ ที่สาขาของ Makro และ Lotus’s กว่า 2,600 แห่งทั่วประเทศ พร้อมตั้งเป้าหมายชัดเจนในการลดขยะอาหารที่จะลงสู่หลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030

“CP Axtra ร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาโครงการ Refill Station เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมตั้งจุดรับคืนพลาสติกใช้แล้ว และยังได้ออกแบบยูนิฟอร์มพนักงานจากขวดพลาสติกรีไซเคิล เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการหมุนเวียนทรัพยากรในทุกขั้นตอน ซึ่งหากไม่เริ่มวันนี้ ขยะไม่มีทางเป็นศูนย์ได้ แต่ถ้าเราร่วมกันลงมือ ขยะก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป”

คุณเฉลิมพล สำราญพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการวิเคราะห์ผลผลิตพืช กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ BKP

คุณเฉลิมพล สำราญพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการวิเคราะห์ผลผลิตพืช กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ BKP ร่วมเวทีเสวนา Smart Farming Technology for Climate-Resilient Agriculture โดยกล่าวถึงแนวทางยกระดับเกษตรกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีเพื่อสร้างความยั่งยืน ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘ฟ.ฟาร์ม’ ที่ได้รับการออกแบบให้เป็น ‘เพื่อนคู่คิดเกษตรกร’ ช่วยสนับสนุนการวางแผนการเพาะปลูกตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อรับมือกับความผันผวนของสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมฟีเจอร์สำคัญ อาทิ การคาดการณ์สภาพอากาศล่วงหน้า ข่าวสารการเกษตร ระบบแนะนำการเพาะปลูกตามมาตรฐาน GAP ราคาผลผลิต และระบบตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของ BKP ที่ต้องการสร้างทั้ง  Smart Farming และ Smart Farmer ไปพร้อมกัน เพื่อให้เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถยืนหยัดได้อย่างยั่งยืนในยุคของการเปลี่ยนแปลง