InnovativeTop Stories

จับตา​ ‘นอนนอน’ (nornnorn) ภาคต่อธุรกิจครอบครัว Gen 4 และการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ให้โลก ​ที่ผนวกทั้ง Ecommerce , FinTech และ RecyclingTech ไว้ด้วยกัน

'นอนนอน' (nornnorn) เส้นทางสตาร์ทอัพสาย Sustainable Entreprerneur กับโมเดลธุรกิจที่ไม่เหมือนใครในโลก ด้วยธุรกิจ​ Subscription ที่นอนใหม่ พร้อมรับคืน​ และรีไซเคิลอย่างถูกวิธี เพื่อให้การนอนมีส่วนช่วยโลกให้ดีขึ้น ผ่าน 3 เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

‘นอนนอน’ (nornnron) ธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่ผู้ก่อตั้งเป็นทายาทรุ่น 4 ของครอบครัว ซึ่งเชี่ยวชาญและอยู่ในธุรกิจการผลิตที่นอนมากว่า 95 ปี รวมทั้งยังเป็นผู้สร้างตำนานให้อุตสาหกรรมที่นอนในฐานะ First Mover ที่สร้างโรงงานผลิตที่นอนสปริงรายแรกของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เส้นทางธุรกิจเริ่มจากการซื้อมาขายไป ‘ที่นอนนุ่น’​ ในรุ่นที่ 1 สู่การพัฒนา​เป็น ‘ที่นอนฟองน้ำ’ รายแรกๆ ของไทย ก่อนจะต่อยอด​สู่ ‘ที่นอนสปริง’ ภายใต้แบรนด์ ‘ดาร์ลิ่ง’ (Darling) ในรุ่นที่ 2 พร้อมทั้งการตั้งโรงงานที่นอนสปริงแห่งแรกของประเทศและภูมิภาคอาเซียนในเจนเนอเรชั่นนี้ จนมาถึงรุ่นที่ 3 ที่รุก​ขยายตลาดที่นอนสปริงสู่กลุ่ม B2B ​​ให้​ธุรกิจที่พัก และโรงแรมต่างๆ รวมทั้งการแยกมาตั้งแบรนด์ใหม่อย่าง ‘สปริงเมท’ (Springmate) เป็นของตัวเอง

แต่ด้วยการแข่งขันในตลาดที่​​รุนแรงมากขึ้น มีแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์จากต่างประเทศ ทำให้ช่องทางจำหน่ายเริ่มถูก​จำกัดมากขึ้น ​​รวมทั้งกระแส Digital Disruption ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีต่างๆ ไปจนถึง​​​ความผันผวนและ​เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ทั้งบริบททางสังคม รวมไปถึง​​พฤติกรรมของผู้บริโภค​ กลายเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับผู้สานต่อในรุ่นที่ 4 อย่าง คุณต้น -นพพล เตชะพันธ์งาม ที่ต้องหาวิธีการปรับตัว เพื่อสร้างโอกาสและตลาดในการเติบโตใหม่ๆ เพื่อป้องกันธุรกิจถูก​ดิสรัปจนไม่สามารถเติบโต​อย่างแข็งแรงได้อีกต่อไปในอนาคต

ปี 2015  คุณต้น -นพพล เตชะพันธ์งาม หรือที่เพื่อนๆ เรียกกันจนติดปากว่า ‘คุณแนป’ ซึ่งเป็นช่อย่อ​มาจากนพพล และยังมีความหมายที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับการนอน จึงได้ตัดสินใจแยกตัวจากธุรกิจครอบครัวหลังจากเข้าไปช่วยงานได้​​ 10 ปี เพื่อออกมาตั้ง​ ‘บริษัท เซอร์คิวลาร์ริตี จำกัด’  เพื่อดำเนินธุรกิจ​​​สตาร์ทอัพของตัวเอง ด้วย​การพัฒนาแพลตฟอร์มให้เช่าที่นอน (Subscription) พร้อมรับคืน และนำไปรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ​ ภายใต้ชื่อ ‘นอนนอน’ (nornnorn)  

ตั้งต้นจาก 3 Pain point ของธุรกิจดั้งเดิม

คุณแนป เล่าถึงที่มาของ nornnorn เกิดจากความเข้าใจในธุรกิจที่นอนอย่างลึกซึ้ง จากเส้นทางเกือบศตวรรษที่ครอบครัวอยู่ในธุรกิจนี้  ทำให้​พบและอยากเข้าไปมีส่วนช่วยแก้ไข  3 Pain point สำคัญในธุรกิจ ประกอบด้วย

การเข้าถึง : จากการที่ที่นอนสปริงคุณภาพสูง มาพร้อมราคาที่แพง ทำให้จำกัดการเข้าถึงได้เพียงลูกค้าเฉพาะกลุ่มเท่านั้น การพัฒนาโมเดลนี้ จึงมีส่วนในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้อีกทางหนึ่ง​

การทิ้ง : เนื่องจากที่นอนเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ ทำให้เป็นภาระและยากต่อการทิ้ง จุดจบส่วนใหญ่จึงเป็นการถูกนำไปฝังกลบ หรือเผาทำลาย และบ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นที่นอนกลายไปเป็นขยะในที่ที่ไม่ควรอยู่ โดยพบข้อมูลว่า มีปริมาณที่นอนถูกทิ้งทั่วโลกกว่า 150 ล้านชิ้นต่อปี หรือพบภายในภูมิภาคอาเซียนกว่าหลายสิบล้านชิ้นต่อปี

การรีไซเคิล : ยังไม่มีกระบวนการในการรีไซเคิลที่นอนอย่างเป็นระบบ เนื่องจาก มีต้นทุนในการดำเนินงานสูง ขณะที่ Value ที่ได้จากการรีไซเคิลไม่สูง ทำให้ไม่คุ้มค่าในการลงทุน จึงยังไม่มีใครเข้ามาในส่วนนี้

3 ข้อจำกัดดังกล่าว จึงเป็นที่มาให้คุณแนป คิดโมเดลธุรกิจในรูปแบบ PaaS (Product as a Service) ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘นอนนอน’ (nornnorn) เพื่อให้บริการเช่าที่นอนสปริงใหม่ คุณภาพสูง โดยสามารถชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน และเลือกระยะสัญญาได้ตามความต้องการ ตั้งแต่ 12 -120 เดือน ​โดยราคาที่ชำระได้รวมค่าบริการเก็บกลับผลิตภัณฑ์ และการนำไป​รีไซเคิลตามกระบวนการอย่างถูกต้องและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนทั่วไป รวมทั้งผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่มีทุนมากนัก สามารถลดต้นทุนจากที่นอนไปพัฒนาส่วนอื่นๆ ได้เพิ่มมากขึ้น

​nornnorn ได้เริ่มทดลองให้บริการ (Pilot Project) ในปี 2018 พร้อมกัน​ 2 ประเทศ ทั้งในไทย ที่มีที่นอนแบรนด์สปริงเมทเป็นพันธมิตรเบื้องต้น​ และในอินโดนีเซีย มีแบรนด์สปริงแอร์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่นอนรายใหญ่ในอินโดนีเซียร่วมเป็นพันธมิตร โดยนำร่อง​ทำตลาดในกลุ่ม B2B เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่พักขนาดเล็ก หรือธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถเข้าถึงที่นอนสปริงคุณภาพสูง ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยที่ไม่ต้องลงทุนสูงมากเกินไป

“ช่วงเปิดตัวได้ปีกว่าๆ เป็นช่วงที่สถานการณ์โควิดแพร่ระบาด ทำให้เริ่มมีการปรับแผนในประเทศไทย ด้วยการขยายบริการสู่กลุ่ม B2C เร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้ แต่กลับได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี เพราะสามารถเข้าถึงที่นอนคุณภาพสูงในราคาไม่แพง ทำให้ตอนนี้ฐานลูกค้าในไทย ทั้งกลุ่มธุรกิจ (B2B) และค้าปลีก (B2C) ​มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน แต่ในอนาคต จะรุกตลาดในกลุ่มค้าปลีกมากขึ้น เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงให้ธุรกิจได้ดีกว่า ทั้งอัตราค่าเช่าที่สูงกว่า โดย B2B เริ่มต้นที่ 89 บาท/เดือน ขณะที่ค้าปลีก อยู่ที่ 112 บาท/เดือน รวมทั้งหากเกิดกรณีผิดนัดชำระ กลุ่มค้าปลีกที่เช่าเริ่มต้นเพียง 1 ชิ้น จะกระทบน้อยกว่ากลุ่มผู้ประกอบการที่มักจะเช่าในสเกลที่ใหญ่กว่า ทำให้กระทบต่อสภาพคล่องธุริกจได้มากกว่า”

จุดนัดพบ  Ecommerce + FinTech + Recycling Technology

การพัฒนา nornnorn ของคุณแนป ยังถือว่าเป็นการสร้างนวัตกรรมโมเดลธุรกิจใหม่ ที่เป็น First Mover ของโลก​ เหมือนกับที่ครอบครัวเคยทำได้มาแล้วในอุตสาหกรรมที่นอนของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการ Subscribe ที่นอนคุณภาพสูง ตามแนวทาง PaaS และให้บริการ​ผ่านแพลตฟอร์ม​ออนไลน์เช่นเดียวกับ​ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ ยัง​​ประยุกต์เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ในรูปแบบ Green Financing ผสมผสานกับ Tokenization ​มาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตและขยายธุรกิจในอนาคต ทำให้ nornnorn ​​เป็นสตาร์ทอัพด้านความยั่งยืนรายแรกของประเทศที่สามารถออก ‘หุ้นกู้สีเขียว’ (Mini Green Bond) ในรูปแบบ Digital Investment Token ภายใต้การสนับสนุน​จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างถูกต้อง โดยจะใช้ระบบนำรายได้จากสัญญาระยะยาวของลูกค้าซึ่งเป็นแหล่งในการสร้างรายได้ให้ธุรกิจกลับ​มาจ่ายเป็นเงินปันผลคืนให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยเข้ามารองรับการขยายธุรกิจในอนาคตให้เติบโตได้ต่อเนื่อง

“​ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน จะทำให้ผู้ลงทุน​ทราบเส้นทางการเงินและ Journey ของธุรกิจว่าช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรบ้าง ขณะที่การประเมิน Life Cycle Assessment (LCA) หรือการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ตามโมเดลของ nornnorn ที่เป็นรูปแบบของการ เช่า-ใช้-คืน-รีไซเคิล เมื่อเทียบกับโมเดลเดิม ที่เป็นการซื้อ -ใช้ -ทิ้ง และเกิดเป็นขยะ พบว่า nornnorn ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 31%  รวมทั้งลดมลภาวะทางอากาศ​ 28% และลด​สารพิษที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์อย่างน้อย 24% ขณะเดียวกันยังสามารถลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบลงได้เกือบ 20 ตัน “​

อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของ nornnorn ซึ่งถือว่ามีความ​ท้าทายมากที่สุด และอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำมาใช้ได้จริงและมีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ คือ การพัฒนากระบวนการรีไซเคิลที่นอน (Recycling Technology) โดยเฉพาะในส่วนของฟองน้ำ ที่แม้จะมีเทคโนโลยีในการรีไซเคิลแต่ยังมีต้นทุนที่สูง จึงอยู่ระหว่างการวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้จริง ​ขณะที่ส่วนประกอบอื่นๆ อย่างผ้าและเส้นใยต่างๆ สามารถนำไปใช้เป็นไส้กรองน้ำมันอุตสาหกรรม หรือนำไปแปรรูปในธุรกิจสิ่งทอ ส่วนลวดเหล็กสปริงก็สามารถนำไปหลอมเพื่อนำกลับมาเป็นเหล็กเพื่อใช้งานใหม่ได้

“มากกว่า 90% ของที่นอนสามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ โดยเป้าหมายที่เราต้องการคือการวิจัยพัฒนาเพื่อให้วัสดุทุกชิ้นสามารถนำกลับเข้าสู่ระบบการผลิตเพื่อทดแทนการใช้ทรัพยากรใหม่ได้ท้ังหมด​ เพราะไม่อย่างนั้น สุดท้ายปลายทางจะกลายเป็นขยะไปสู่หลุมฝังกลบเช่นเดิม ซึ่งตามแผนเตรียมปรับโรงงานผลิตที่นอนเก่าในจังหวัดขอนแก่นให้เป็นศูนย์กลางการรีไซเคิล โดยจะใช้เป็นสถานที่ในการรวบรวมที่นอนเก่า เพื่อนำมาแยกชิ้นส่วนและรีไซเคิล แต่ต้องยอมรับว่าธุรกิจกลุ่มนี้จะมีต้นทุนที่สูงและยากที่จะมีกำไร ทำให้ในเชิงธุรกิจจึงต้องมีฝั่งที่ทำกำไรจากกลุ่ม Subscribe มาช่วยสนับสนุน ประกอบกับการเดินหน้าวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้มีจุดคุ้มทุนที่ดีที่สุดเพื่อสามารถทำกำไรได้บ้าง ก่อนที่จะขยายสเกลธุรกิจในแต่ละส่วนในอนาคตต่อไป”

สำหรับแผนในอนาคต นอกจาก​การพัฒนาแพลตฟอร์ม nornnorn ให้รองรับการขยายการเติบโตของธุรกิจ ทั้งการเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ หรือการเปิดรับพันธมิตรแบรนด์ที่นอนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้บริการ  รวมทั้งยังให้ความสำคัญในการเดินหน้าวิจัยและพัฒนา​ โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์ที่นอน เพื่อทำให้ที่นอนสามารถรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น หรือมีน้ำหนักเบาขึ้น ไปจนถึงการมีเทคโนโลยี Self Cleaning ที่สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ เพื่อไม่ต้องเปลี่ยนผ้าปู หรือมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อให้สินค้าตอบโจทย์กระแสโลกหรือบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป รวมทั้งส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างแท้จริง