เอสซีจี ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายพันธมิตร ขยายผล 2 โครงการสำคัญ ในซีซซัน 2 ได้แก่ หลักสูตร Net Zero Accelerator Program 2026 (NZAP 2026) และ Go Together ซีซัน 2 มุ่งสนับสนุน SMEs ผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่ธุรกิจโดยในเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน พร้อมปรับตัวต่อความท้าทาย และการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม และเติบโตอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง Inclusive Green Growth
ทั้งนี้ การขยายผลครั้งนี้มาจากความสำเร็จของทั้ง 2 โครงการ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในปีที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมโครงการรวมกันกว่า 1,400 คน ทั้งจากหลักสูตร NZAP 2025 (Net Zero Accelerator Program) ที่รวบรวมทุกภาคส่วนสำคัญในอีโคซิสเต็มเพื่อช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำของ SMEs ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือภาคประชาสังคมที่มีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาและเปลี่ยนผ่าน โดยมีผู้เข้าร่วมหลักสูตรกว่า 100 คน ผ่านการอบรมในหัวข้อสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านรวม 8 สัปดาห์ (8 Module)
รวมทั้งโครงการ Go Together ซีซัน 1 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการภายใน Supply Chain สามารถเข้ามาศึกษาดูงาน จากต้นแบบหรือกระบวนการในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต หรือการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อหันมาใช้พลังทดแทนในกระบวนการผลิตรูปแบบต่างๆ ทั้งพลังงานโซลาร์ ความร้อน หรือไบโอแมส จากกลุ่มเอสซีจี ในพื้นที่ต่างๆ ทั้งสระบุรี ราชบุรี ขอนแก่น ลำปาง และทุ่งสง เพื่อนำไปปรับใช้ในกระบวนการผลิตในธุรกิจตัวเอง โดยมีผู้สนใจร่วมชมกว่า 1,300 ราย และมีกลุ่มผู้ประกอบการราว 10% ที่เริ่มนำร่องปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งถือว่าประสบความเร็จที่ดี และเชื่อว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้ประกอบการส่วนที่เหลือเริ่มขยับตัวตามในเฟสต่อๆ ไป
ดร.ชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ – การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า SMEs เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจไทยด้วยจำนวนกว่า 90% ของธุรกิจทั้งประเทศ พร้อมสร้างให้เกิดการจ้างงานกว่า 70% และสร้างรายได้มากว่า 35% ของ GDP ทั้งประเทศ แต่ปัจจุบัน SMEs ต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งต้นทุนที่สูง การแข่งขันที่รุนแรง เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และแรงกดดันจากมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับโลก ทำให้การปรับตัวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ พร้อมประสิทธภาพในการดำเนินงาน เพื่อสามารถแข่งขันได้ในตลาดคุณภาพของโลก จึงเป็นมากกว่าทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียวของธุรกิจในปัจจุบัน
ขณะที่ความสำเร็จของหลักสูตร NZAP 2025 และ โครงการ Go Together ซีซันแรก ทั้งจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,400 ราย รวมทั้งยังทำให้ผู้ประกอบการราว 10% เริ่มมีการปรับตัวแล้ว นำมาสู่การขยายผลต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อกระตุ้น SMEs ให้เปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็ง และนำไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกในทางปฏิบัติได้จริง สอดคล้องกับแผนและเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (NDC)
“สำหรับการขับเคลื่อนต่อเนื่องในปีที่สองของทั้ง 2 โครงการ จะขยายความเข้มข้นของกิจกรรม และเน้นการสร้างใหเกิดผลผลัพธ์ในเชิงรูปธรรมได้มากขึ้น โดยมีผู้ที่เคยร่วมโครงการในปีที่ผ่านมา มาเข้าร่วมในการให้คำแนะนำ หรือการเป็นต้นแบบที่เริ่มขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านแล้ว พร้อมทั้งเนื้อหาในหลักสูตร NZAP 2026 ที่จะเพิ่มจาก 8 สัปดาห์ เป็น 12 สัปดาห์ เพื่อเข้าใจความสำคัญในการเปลี่ยนผ่าน พร้อมแนวทาง วิธีการในการเปลี่ยนผ่านได้ลึกซึ้งมากขึ้น พร้อมองค์ความรู้จากทั้งภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ภาคธุรกิจจากหลากหลายอุตสาหกรรม และผู้เกี่ยวข้องจากภาคสังคม เพื่อเป็นไปตามแนวทางความร่วมมือแบบ 3P โดยตั้งเป้าภาคการเข้ามาร่วมหลักสูตรไว้ภาคส่วนละ 30% ส่วนโครงการ Go Together ซีซัน 2 จะมุ่งเสริมศักยภาพ SMEs ผ่านการศึกษาดูงานจริง พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ และเปิดโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและแหล่งเงินทุน โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมเป็นพันธมิตรรายใหม่”
คุณชนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับเคลื่อน 2 โคงการข้างต้น เป็นบทบาทสำคัญในการส่งเสริม SMEs ให้เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่าน โดยเน้น 3 แนวทางสำคัญ คือ
1. การเสริมศักยภาพด้วยเทคโนโลยี เช่น การประยุกต์ใช้ AI และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมยกระดับทักษะแรงงานให้สามารถรับมือกับงานที่ซับซ้อนและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
2. การผลักดันการใช้พลังงานทางเลือกในภาคธุรกิจ ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานควบคู่กับการลดคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม
3. การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ ผ่านโครงการต้นแบบ อาทิ โครงการสระบุรีแซนด์บอกซ์ โมเดลความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม สร้างพื้นที่ในการทดลองใช้พลังงานทางเลือกและเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ พร้อมขยายผลสู่ระดับประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน
“ทั้ง 2 โครงการที่จัดขึ้นจะช่วยลดข้อจำกัดของ SMEs ในการเปลี่ยนผ่าน จากการมีเครือข่ายที่แข็งแรงที่พร้อมสนับสนุน เพื่อให้สามารถเข้าถึงทั้งองค์ความรู้ การสนับสนุนทุนในการเปลี่ยนผ่านให้ธุรกิจมีศักยภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสามารถเข้าไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพสูง และมักให้ความสำคัญต่อธุรกิจคาร์บอนต่ำ เช่น ตลาดยุโรป รวมทั้งความร่วมมือกันในเครือข่ายที่เปลี่ยนแนวทางจาก Function Base สู่ Issue Base เพื่อสามารถเข้าใจปัญหา ข้อจำกัดของกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างแท้จริง และมุ่งให้เกิดการแก้ไขและเปลี่ยนผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ด้าน คุณณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) หนึ่งในหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยดูแลและส่งเสริม SMEs ในการขับเคลื่อนสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ กล่าวว่า ได้มุ่งเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย ‘ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้’ ด้วยแนวทาง ‘4ให้ 1 ปฏิรูป’ เพื่อส่งเสริมการสร้างธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน ผ่านการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำแนวคิด BCG มาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางอุตสาหกรรมสีเขียวให้กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ (Industry 5.0) สอดรับกับนโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส’
ทั้งนี้ ทาง SCG จะเริ่มเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมหลักสูตร NZAP 2026 ในช่วงปลายปีนี้ และจะเริ่มต้นอบรมจริงในช่วงต้นปีหน้า พร้อมทั้งการพาไปศึกษาดูงานในโครงการ Go Together อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้ สามารถสะท้อนความจริงจังในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ภายใต้ความร่วมมือกันอย่างจริงจังของทุกภาคส่วนในระบบนิเวศอย่างมีบูรณาการ เพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง และสร้างผลกระทบเชิงบวกได้จริง