สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อ ‘ร่างระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม บัญชีระบบนิเวศ และร่างคู่มือการจัดทำระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม บัญชีระบบนิเวศ’
ภายใต้โครงการพัฒนาระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม (System of Environmental-Economic Accounting : SEEA) เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงประโยชน์ของระบบบัญชีดังกล่าว และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอย่างสมดุล โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังจากทุกภาคส่วนกว่า 200 คน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน
ทั้งนี้ การพัฒนา SEEA -ระบบนิเวศ นับเป็นก้าวแรกในการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิที่หน่วยงานต่างๆ จัดเก็บรวบรวม เพื่อนำมาประมวลผลและจัดทำเป็นบัญชี SEEA ใน 4 หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับสาขาทรัพยากรป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ และพื้นที่สีเขียว ของประเทศไทย
ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการจัดทำบัญชีในปีแรกนี้ยังต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดทำข้อมูลอย่างต่อเนื่อง อาทิ การกำหนดประเด็นที่ควรเร่งดำเนินการ การกำหนดมาตรฐานในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผลร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยมีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ-สิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้เห็นภาพรวมและสามารถตัดสินใจเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ดร.วรินธร สงคศิริ รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้และพื้นที่สีเขียว ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร การดูดซับคาร์บอน และการสนับสนุนอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แต่ปัจจุบันทรัพยากรเหล่านี้กำลังเผชิญแรงกดดันจากการขยายตัวของเมือง การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และภาวะโลกร้อน จึงจำเป็นต้องพัฒนาฐานข้อมูลบูรณาการที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ติดตาม ประเมิน และกำหนดนโยบายบนหลักฐานเชิงประจักษ์
คุณทรงวุฒิ ศรีสว่าง ผู้อำนวยการกองติดตามและประเมินผล สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า สผ. มีบทบาทในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนนโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการเติบโตอย่างยั่งยืน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ 20 ปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
“ช่วงที่ผ่านมา การพัฒนาประเทศได้ใช้ฐานทรัพยากรมากเกินศักยภาพของระบบนิเวศ ส่งผลให้ทรัพยากรเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ขณะที่การแก้ไขปัญหาของภาครัฐยังขาดเครื่องมือและข้อมูลที่ครบถ้วน การจัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องตั้งอยู่บนการตัดสินใจที่มีข้อมูลเชิงบูรณาการและน่าเชื่อถือ โดยระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม (SEEA) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการ เนื่องจาก SEEA เป็นมาตรฐานสากลในการเชื่อมโยงข้อมูลเศรษฐกิจกับต้นทุนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คล้ายระบบบัญชีประชาชาติ (SNA) แต่ ครอบคลุมมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบจากกิจกรรมเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม”
ทั้งนี้ หลายประเทศได้นำ SEEA มาใช้ประเมินและวางแผนอนุรักษ์ให้เหมาะสมกับศักยภาพของระบบนิเวศ ขณะที่ประเทศไทยเริ่มจัดทำบัญชีระบบนิเวศเพื่อประเมินศักยภาพและคุณค่าการบริการทางนิเวศ (Ecosystem Services) ในพื้นที่สำคัญ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายและการจัดการอย่างสมดุล ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2570
ดร.ยุวนันท์ สันติทวีฤกษ์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส ไบโอเทค และหัวหน้าโครงการฯ เปิดเผยว่า การดำเนินงานภายใต้โครงการนี้ ได้จัดทำบัญชี 4 เรื่อง ได้แก่ บัญชีพื้นที่ป่าไม้, บัญชีทรัพยากรไม้, บัญชีระบบนิเวศป่าไม้ (พื้นที่นำร่อง: อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่) และบัญชีระบบนิเวศพื้นที่สีเขียว (พื้นที่นำร่อง: คุ้งบางกะเจ้า)
“บัญชีเหล่านี้จะช่วยติดตามและประเมินการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร ทั้งส่วนที่คงอยู่และส่วนที่ถูกใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลชี้ว่า แนวโน้มพื้นที่ป่าไม้ของไทยลดลงต่อเนื่อง แต่หากมีนโยบายสนับสนุนการปลูกและใช้ไม้เศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง เช่น สัก ยางพารา ยูคาลิปตัส จะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้บรรลุเป้าหมาย 40% ของพื้นที่ประเทศ ลดการนำเข้าไม้และเยื่อจากต่างประเทศ และสร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้กว่า 450,000 ล้านบาทต่อปี”
ขณะที่ในเชิงนิเวศ พบว่า ระบบนิเวศป่าไม้สามารถกักเก็บคาร์บอน 58 ล้านตัน CO₂e (คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์มีกระดูกสันหลัง 69 ชนิด ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
ด้านระบบนิเวศคุ้งบางกะเจ้า มีพื้นที่สีเขียวกว่า 6,000 ไร่ สร้างรายได้แก่ชุมชนไม่น้อยกว่า 70 ล้านบาทต่อปี กักเก็บคาร์บอนกว่า 300,000 ตัน (มูลค่าคาร์บอนเครดิตประมาณ 55 ล้านบาท) ผลิตออกซิเจนเพียงพอสำหรับประชากรได้ถึง 335,000 คน และช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 ทำให้คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตลอดทั้งปี
ภายในงานสัมมนา ยังมีการเสวนาในหัวข้อ ‘ระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม: จากข้อมูลสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน’ โดยผู้แทนจากกรมป่าไม้ มูลนิธิชัยพัฒนา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเน้นย้ำว่าปัจจัยความสำเร็จของ SEEA ประกอบด้วย 1) หน่วยงานเจ้าภาพหลักที่ชัดเจน 2) ฐานข้อมูลกลางที่มีคุณภาพ 3) ความร่วมมือจากรัฐ-เอกชน-วิชาการ-องค์กรระหว่างประเทศ และ 4) การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนเพื่อผลักดันระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อมเป็นภารกิจ เพื่อให้ทุกภาคส่วนนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการทำงานร่วมกันของหลากหลายสาขาวิชา ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ สถิติ วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เพื่อมาร่วมกันจัดทำข้อมูล ทรัพยากรต่างๆ อาทิดิน น้ำ ป่าไม้ แร่ธาตุและพลังงาน เป็นต้น เพื่อจัดทำข้อมูลในรูปแบบปริมาณทางกายภาพ รวมไปถึงการประเมินมูลค่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทยสามารถอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว