ย้อนมอง ‘ความเสี่ยงโลก’ จากรายงาน ‘Global Risk Report 2025’ โดย World Economic Forum WEF ที่เผยแพร่การสำรวจข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขามากกว่า 900 คนทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีส่วนกำหนดนโยบายหรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการประเมินความเสี่ยงโลก
โดยรายงานชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ออกมาในช่วงต้นปี ก่อนจะเกิดแรงกระแทกจาก Tariffs War จากการที่ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อโต้ตอบมาตรการทางค้า และระบุว่าเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนตามนโยบาย Make America Great Again ตามที่ได้เคยลั่นวาจาไว้ ซึ่งในขณะนี้ ประเด็นนี้น่าจะเป็นความเสี่ยงเร่งด่วนที่หลายๆ ประเทศต่างกำลังหาแนวทางต่อรอง รวมทั้งเร่งหาทางออกเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ขณะที่รายงาน Global Risk ฉบับล่าสุดในปี 2025 ระบุสถานการณ์โลกไว้ว่า กำลังอยู่ในยุคที่แตกแยกที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา และส่วนใหญ่มีทัศนคติในแง่ร้ายเพิ่มมากขึ้นทั้งความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ Geopolitical และเศรษฐกิจภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐ กลายมาเป็นความเสี่ยงอันดับ1 ในปี 2025 เทียบกับ 2 ปีก่อนหน้าที่ไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวลใจมากนัก ซึ่งประเด็นนี้ยังคงติด Top 3 ในการประเมินความเสี่ยงโลก ในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในปี 2027 อีกด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมาสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจอีกด้วย รวมไปถึงความรู้สึกแตกแยกในสังคมและปัญหาสังคมในมิติอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น
หรือแม้แต่ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม Environmental ที่เคยเป็นความเสี่ยงในระยะยาวของโลก ก็เริ่มมีคนมองเป็นความเสี่ยงในระยะสั้นและระยะกลางเพิ่มมากขึ้น จากประเด็นอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 ที่ผ่านมา รวมทั้งผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่รุนแรง และบ่อยครั้งมากขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น จากที่เคยมองเป็นความเสี่ยงระยะยาวสำหรับทศวรรษหน้า โดยเป็นความเสี่ยงต้นๆ ในอันดับ 2 และ 1 ทั้งช่วง 2 ปี และ 10 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะใน 10 ปีข้างหน้า ที่ 10 อันดับความเสี่ยง เป็นด้านสิ่งแวดล้อมถึงครึ่งหนึ่ง และความกังวลสูงสุด 4 อันดับแรกก็เป็นมิติด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมด
Top10 Global Risk Short Term & Long Term
สำหรับการจัดกลุ่ม ความเสี่ยง แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ทั้ง ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ (Economic) ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental)ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ความเสี่ยงด้านสังคม (Societal) และความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี (Technological)
ความเสี่ยงในระยะสั้น – กลาง (ปี 2027) เรียงลำดับ 10 อันดับแรก ประกอบไปด้วย
• ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (Technological Risk)
• สภาพอากาศสุดขั้ว (Environmental Risk)
• ความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างรัฐ (Geopolitical Risk)
• การแบ่งขั้วทางสังคม (Societal Risk)
• การจารกรรมและสงครามทางไซเบอร์ (Technological Risk)
• มลพิษ (Environmental Risk)
• ความไม่เท่าเทียม (Societal Risk)
• การย้ายถิ่นฐานหรือการพลัดถิ่นโดยไม่สมัครใจ (Societal Risk)
• ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk)
• การเสื่อมถอยของสิทธิมนุษยชนและ/หรือเสรีภาพพลเมือง (Societal Risk)
ความเสี่ยงในระยะยาว (ปี 2035) เรียงลำดับ 10 อันดับแรก ประกอบไปด้วย
• สภาพอากาศสุดขั้ว (Environmental Risk)
• การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ (Environmental Risk)
• การเปลี่ยนแปลงระบบของโลก (Environmental Risk)
• การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ (Environmental Risk)
• ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (Technological Risk)
• ผลกระทบด้านลบจากเทคโนโลยี AI (Technological Risk)
• ความไม่เท่าเทียมกัน (Societal Risk)
• การแบ่งขั้วทางสังคม (Societal Risk)
• การจารกรรมและสงครามทางไซเบอร์ (Technological Risk)
• มลพิษ (Environmental Risk)
Top5 ความเสี่ยงของประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังได้โฟกัสให้เห็น Top5 ความเสี่ยงของประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นความกังวลในมิติด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
อันดับ 1 ความกังวลด้านภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย
อันดับ 2 ปัญหาหนี้เอกชน
อันดับ 3 ปัญหาด้านมลพิษ
อันดับ 4 ปัญหาความยากจนและไม่เท่าเทียม
อันดับ 5 ปัญหาหนี้สาธารณะ






