Top StoriesTrending

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เตือนผู้ประกอบการไทยเตรียมรับมือ EU CBAM ต้นปีหน้า ตามกระแสความยั่งยืนโลกที่ยังไม่แผ่ว แม้สหรัฐฯ เริ่มผ่อนปรน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้คำแนะนำ​ผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัว เพื่อลดความเสี่ยงจาก EU CBAM ที่มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมากขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุมมูลค่าสินค้าเพียง 1.1 หมื่นล้านบาท จะเพิ่มขึ้นเป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้สหภาพยุโรป (EU) จ่อเริ่มเก็บภาษีคาร์บอน (CBAM) ต้นปีหน้า คาดส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้นเป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573

ขณะที่ประเทศไทยยังต้องรอการออกมาตรการภาคบังคับ แต่ความล่าช้าของกฎหมายอาจจะทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบ มองอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าค่ามาตรฐานของ EU CBAM เสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น แนะช่วงปี 2568 – 2573 คือหัวเลี้ยวหัวต่อ ธุรกิจที่เริ่มปรับตัวลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ก่อนจะสร้างความได้เปรียบ

ดร. กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ถึงแม้สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่ไทยส่งออกไปมากที่สุดในปัจจุบัน ด้วยสัดส่วนการส่งออก 17%​ จะมีการชะลอการดำเนินการเรื่องความยั่งยืน แต่ประเทศคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะ EU ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญลำดับ 3 ด้วยสัดส่วนส่งออก 9% จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนจากมาตรการ EU CBAM ตั้งแต่ต้นปีหน้า​ ส่งผลให้สินค้านำเข้าจากไทยต้องรับภาระต้นทุนคาร์บอน และ EU จะทยอยเพิ่มความเข้มข้นจนเต็มรูปแบบหลังปี 2577

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่จีน (ตลาดส่งออกลำดับ 2 สัดส่วน 11%) และญี่ปุ่น (ตลาดส่งออกลำดับ 4 สัดส่วน 7%) จะดำเนินมาตรการในทำนองเดียวกัน ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนเพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งหากท้ังจีนและญี่ปุ่น เริ่มใช้มาตรการ CBAM คาดว่าจะกระทบส่งออกไทยมูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านบาท ​

คุณจักรี พิศาลพฤกษ์ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

คุณจักรี พิศาลพฤกษ์ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า โครงสร้างตลาดคาร์บอนของประเทศไทยในลักษณะภาคสมัครใจยังเป็นข้อจำกัดต่อการสร้างแรงจูงใจ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ได้แก่ การปลดล็อคข้อกำหนดการใช้โครงข่ายไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด เช่น เช่น Direct Power Purchase Agreement รวมถึงกฎหมายภาคบังคับมาอุดช่องว่าง โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะทำให้ประเทศไทยมี Carbon Tax และระบบ Emission Trading Scheme (ETS) อย่างไรก็ดี ความล่าช้าในการบังคับใช้ ร่าง พ.ร.บ.ฯ หลัง EU CBAM ประมาณ 2 ปี อาจทำให้ไทยเสียโอกาสนำเงินค่าธรรมเนียมคาร์บอนมาเป็นกองทุนสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศแทนการจ่ายให้กับต่างประเทศ

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า EU CBAM มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่ครอบคลุมมูลค่าสินค้าเพียง 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาทภายในปี 2573 ทั้งนี้ แม้ว่าผู้ประกอบการไทยจะพยายามปรับตัวโดยดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก แต่อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าค่ามาตรฐานของ EU CBAM ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า อาจต้องเสียค่าปรับโดยเฉลี่ย 5 แสนบาทต่อการส่งออกสินค้า 1 ล้านบาทไปยัง EU หรือคิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 50% เลยทีเดียว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้คำแนะนำว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการไทยมีสองทางเลือก ได้แก่ ‘ รอ’ หรือ ‘ลุย’ คือจะรอให้กฎหมายและแรงกดดันจากต่างประเทศบังคับ หรือเริ่มและลงมือทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบ ลดความเสี่ยง และเตรียมรับภาษีคาร์บอน

โดยช่วงปี 2568 – 2573 คือหัวเลี้ยวหัวต่อ ใครเริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ สิ่งสำคัญคือ การทำธุรกิจให้ ‘กรีนขึ้น’ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก เพียงเริ่มจากมาตรการง่ายๆ เช่น ใช้พลังงานคุ้มค่า จัดการของเสีย หรือเลือกซัพพลายเออร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็ช่วยลดต้นทุน เสริมภาพลักษณ์รวมถึงทยอยปรับตามมาตรฐานสากลอีกด้วย