ชุมนุมภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ร่วมกับ บพท.ระดมชุดข้อมูลจากงานค้นคว้าวิจัย เสนอชุดคำตอบ 10 ประการ ตอบโจทย์ประเทศ ตอบสนอง 4 นโยบายสำคัญรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บรรยายพิเศษ ‘สถานการณ์ความยากจนและการสร้างโอกาสเพื่อยกระดับสถานะทางสังคม’ ในงานสัมมนา ‘สู้ชนะความจนครั้งที่ 2 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ บนฐานบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี ภาคี ความสัมพันธ์’ โดยระบุว่า ฐานข้อมูลครัวเรือนยากจนปี 2566 ที่เกิดจากการสังเคราะห์ชุดข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสอบทานข้อมูลครัวเรือนยากจน โดยคณะวิจัย 779 คน ร่วมกับนักศึกษา 1,688 คน และภาคีเครือข่ายอีก 1,767 ภาคี พบว่า มีจำนวนคนจนรวมกัน 2.39 ล้านคน คิดเป็น 3.41% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
จากการศึกษาพบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 31.71% หรือราว 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 2 ได้แก่ ภาคใต้ มีสัดส่วนคนจน 30.65% ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 3 ได้แก่ ภาคกลาง มีสัดส่วนคนจน 19.07% ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 4 ได้แก่ ภาคเหนือ มีสัดส่วนคนจน 16.98% ของประชากรในพื้นที่ และอันดับสุดท้ายคือ กรุงเทพมหานคร มีสัดส่วนคนจน 1.60% ของประชากรในพื้นที่
รายงานยังมีข้อมูลการวิจัยบ่งชี้ว่า มูลเหตุแห่งความยากจนในสังคมไทย 84% มีสาเหตุสำคัญมาจากการขาดเงินออม เนื่องจากมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดย 71% มาจากปัญหาหนี้สิน, 60% มาจากการขาดที่ดินทำกิน, 57% มาจากการขาดทักษะด้านอาชีพที่สามารถสสร้างรายได้ และ 41% มาจาการเข้าไม่ถึงสวัสดิการจากรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นครัวเรือนคนจนมักจะมีถิ่นพำนักอยู่ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซาก
“บพท. ได้ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยและภาคีในพื้นที่ ทำงานวิจัยแก้ปัญหาความยากจนลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา และได้ออกแบบโมเดลแก้จนที่มีความสอดคล้องกับบริบทภูมิสังคมในพื้นที่ สำหรับนำไปประยุกต์ใช้แล้วถึง 299 โมเดล ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้งยังได้สร้างนักจัดการพื้นที่เพื่อทำหน้าที่วิทยากรให้คำแนะนำแก่ชุมชนในการปรับใช้ประโยชน์จากโมเดลแก้จน กระจายตัวอยู่ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง กาฬสินธุ์ เลย นครราชสีมา อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด ลำปาง พิษณุโลก และแม่ฮ่องสอน”
ดร.กิตติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลจากการดำเนินงานวิจัยแก้จนอย่างต่อเนื่อง ยังก่อเกิดกองทุนแก้จน 34 กองทุน กระจายตัวอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำปาง มุกดาหาร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร ยโสธร ชัยนาท พัทลุง อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา ปัตตานี ยะลา และยังเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดศูนย์วิจัยแก้จนขึ้นใน 3 พื้นที่คือ ปัตตานี พัทลุง และยะลา
นอกจากนี้ ภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ยังร่วมกันเสนอแนะแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนในพื้นที่ และแก้ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาภัยความมั่นคงบริเวณชายแดน รวมทั้งภัยสังคม ไปยังรัฐบาล รวม 10 ประการ ประกอบด้วย
1). ปัญหาความยากจน ควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และมีกลไกระดับชาติทำหน้าที่ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
2). ควรมีกลไกความร่วมมือระดับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบองค์รวม
3). พัฒนาระบบคัดกรองและชี้เป้าครัวเรือนยากจน เชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหลายแหล่งให้เป็นเอกภาพเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และชี้เป้าความยากจนได้อย่างแม่นยำ
4). กำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการข้อมูลเพื่อเป็นฐานในการออกแบบมาตรการแก้จน
เชิงรุกตามประเภทความยากจนของครัวเรือน
5). แก้ปัญหาความยากจนแบบองค์รวม โดยใช้แพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับจังหวัด
6). จัดให้มีกลไกส่งต่อความช่วยเหลือคนจนในทุกระดับ
7). สนับสนุนองค์กรปกครองท้องถิ่น ให้เป็นเจ้าภาพหลักในระดับพื้นที่ในการจัดทำยุทธศาสตร์แก้ปัญหาความยากจน โดยใช้ข้อมูลคนจนแบบชี้เป้าและเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์จังหวัด
8). สนับสนุนให้นายอำเภอ ทำหน้าที่กำกับ ติดตามในระดับอำเภอและให้บรรจุเป็นนโยบายของศูนย์ขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงระดับจังหวัด และให้สถาบันวิชาการในพื้นที่เป็นหน่วยสนับสนุนทางวิชาการแก่กลไกทุกระดับ
9). สร้างนโยบายเชิงรุกด้านสวัสดิการมุ่งเป้า ครอบคลุมทุกมิติ
10). สร้างโครงการพัฒนาทักษะอาชีพที่เข้าถึงครัวเรือนอย่างตรงเป้าและสอดคล้องกับบริบทพื้นที่
‘เครดิตบูโร’ เสนอมีมาตรการยาแรงแก้จน ก่อนหนี้เสียท่วม
คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ ‘เครดิตบูโร’ เปิดเผยสถานการณ์หนี้ล่าสุดของประเทศไทย พบว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยอย่างเป็นทางการไตรมาส 1/2568 เท่ากับ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับ 87.4% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่อันตราย จำเป็นต้องบริหารจัดการเพื่อทำให้หนี้ลดลงอยู่ในสัดส่วนไม่เกิน 80% เพื่อให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
“แม้ข้อมูลสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ในภาพรวมอาจลดลง แต่ความจริงแล้วมูลค่าหนี้ไม่ได้ลดลง คร้วเรือนไทยยังเผชิญปัญหา ‘หลุมรายได้’ หรือรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายโดยเฉพาะกลุ่มฟรีแลนซ์หรืออาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบรายได้หายไปต่อเนื่องหลายปี ตั้งแต่หลังสถานการณ์โควิด ขณะที่กลุ่มลูกจ้างทั้งภาคผลิตและภาคบริการ ที่รายได้เติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี ขณะที่รายจ่ายและหนี้ เติบโตมากกว่าที่ราว 5% ต่อปี ส่งผลมีภาระหนี้ซ้ำเติมเพิ่มมากขึ้น”
ทั้งนี้ หากพิจารณามูลค่าหนี้ครัวเรือนทั้งระบบจากข้อมูลสถิติของเครดิตบูโรล่าสุดถึงเดือน มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา พบว่า มีมูลค่าราว 13.55 ล้านล้านบาท (ไม่รวม กยส. และหนี้สหกรณ์) ลดลงจาก 13.6 ล้านล้านบาท จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่ในทางกลับกันปริมาณหนี้เสีย (NPLs) กลับเพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท จาก 1.22 ล้านล้านบาท เป็น 1.24 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10% ของมูลค่าหนี้ครัวเรือนทั้งระบบ รวมทั้งปริมาณหนี้ที่อยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้าง (DR) ก่อนจะกลายเป็น NPLs ที่เพิ่มมากขึ้นถึง 4.5 แสนล้านบาท จาก 0.92 ล้านล้านบาท เป็น 1.37 ล้านล้านบาท
“แนวโน้มที่เกิดขึ้น จำเป็นที่ภาครัฐต้องมีมาตรการแรงๆ ออกมา เพื่อช่วยแก้หนี้ให้ทุกกลุ่ม ก่อนที่จะปริมาณหนี้เสียจะพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่า หากไม่มีนโยบายแรงๆ มาขับเคลื่อน ภายใน1 ปี กลุ่มที่เริ่มมีหนี้คงค้าง 1-3 เดือน (SM Loan) จะขยับไปแตะราว 6 แสนล้านบาท ส่วน NPLs คาดจะขยับเพิ่มขึ้นไปเป็น 1.3 ล้านล้านบาท หรือมีการเติบโตกว่า 4.8% ซึ่งมากกว่าการเติบโตของ GDP เกือบ 2-3 เท่า รวมทั้งกลุ่มที่จะเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามการขยับของ NPLs มาอยู่ที่ราว 1.2 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มที่จะเป็น Piority ในการช่วยแก้หนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ กลุ่มที่มีหนี้ตำ่กว่า 1 แสนบาท ซึ่งคิดเป็น 60-65% ของลูกหนี้ทั้งพอร์ต หรือจำนวนลูกหนี้ 3.4 ล้านคน ขณะที่มูลค่าหนี้ที่จะเข้ามาช่วยแก้อยู่ที่ราว 10% หรือปรมาณ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อช่วยลดการเกิดคดีและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ได้ ขณะที่ต้นทุนในการแก้หนี้โดยรวมจะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้าน ทั้งการซื้อหนี้เสียในส่วนหนี้กลับมาสู่ระบบและการติดตามทวงถาม ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธภาพ”
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากภูเขาหนี้ที่เกิดขึ้น พบว่า คนทุกวัยล้วนมีหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Personal Loan และมีแนวโน้มที่จะเกิดหนี้เสียขึ้นได้ในทุกเจนเนอเรชั่น โดยแต่ละเจนเนอเรชันจะมีลักษณะการเกิดหนี้ที่แตกต่างกันไป โดยเบบี้บูมเมอร์ จะเป็นหนี้จากการเกษตร ส่วนกลุ่ม Gen X มักจะเป็นเดอะแบก มีภาระในช่วง Midlife Crisis ทั้งภาระเรื่องบ้าน รถ และครอบครัว ขณะที่ Gen Y มีแนวโน้มก่อหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมากที่สุด และมีแนวโน้มเกิดหนี้เสียมากกว่าเจนเนอเรชั่นอื่นๆ เนื่องจาก ยังเป็นกลุ่มทำงานช่วงเริ่มต้น ทำให้มีภาระค่าใช้จ่าย และรายได้ที่ยังไม่สัมพันธ์กัน
นอกจากนี้ เริ่มเห็นแนวโน้มการก่อหนี้ในกลุ่ม Gen Z มากขึ้น โดยเฉพาะหนี้ Personal Loan และโปรแกรมช้อปก่อนผ่อนทีหลัง หรือแคมเปญ 0% ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ทำให้ Gen Z เริ่มก่อหนี้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี โดยพบหนี้ในระบบเริ่มต้นเพียงแค่ 16 ปี
สำหรับแคมเปญ ‘ช้อปก่อนผ่อนทีหลัง’ หรือโปรแกรมว่า BNPL (Buy Now Play Later) หากไม่มีวินัย และนำเงินในอนาคตมาใช้อย่างไม่ระมัดระวัง สุดท้ายจะนำไปสู่หนี้เสีย หรือเกิด To B NPL ได้ในที่สุด