Top StoriesTrending

‘SX FOOD FESTIVAL 2025’ ชวนหา​คำตอบ ‘กินอย่างไรให้รักษ์โลก?’ พร้อมโชว์ 10 นวัตกรรมสร้าง​ ‘Food Security’

SX FOOD FESTIVAL 2025 พื้นที่รวบรวม​ความอร่อยแบบรักษ์โลก พร้อมไฮไลท์ปีนี้กับ 10 นิทรรศการ เรียนรู้นวัตกรรมและเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ภายใต้บรรยากาศสุดชิล​ สำหรับเก็บภาพสวยๆ กันได้แบบจุใจรวมกันไว้ภายในงานเดียว

เริ่มแล้วอย่างเป็นทางการสำหรับ​มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีอย่าง Sustainability Expo 2025 (SX2025) ‘พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก’โดยเฉพาะหนึ่งในโซนไฮไลท์ที่รองรับคนจากกว่า 80% ของงาน ตลอดทั้ง 10 วัน อย่าง  SX FOOD FESTIVAL 2025  ‘กินเพื่อรักษ์โลก’

ปีนี้โซน ​SX FOOD FESTIVAL 2025 จัดพื้นที่ในธีม World Food Collaborations  ออกแบบเป็นวงกลม 3 วงซ้อนกัน เพื่อตอกย้ำการบูรณาการและความร่วมมือกัน ​ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดหลักของงาน SX2025 คือ  ‘Adaptation &  Collaboration’ เพื่อชวนมาปรับตัว และร่วมมือ สู่ทางรอดในวิกฤตโลกรวน รวมทั้ง​การยกระดับการขับเคลื่อน​ความยั่งยืนที่สอดคล้องกับบริบท​โลกมากขึ้น

พร้อมทั้ง​พาทุกคนออกเดินทางรอบโลกผ่านรสชาติอาหารและเมนูสุดพิเศษจากหลากหลายสัญชาติ ที่จะมอบทั้งความอิ่ม อร่อย สุขภาพดี และช่วยโลกได้ในเวลาเดียวกัน ผ่านร้านอาหารที่มาร่วมออกบูธ 173 ร้าน แบ่งเป็น 6 โซนทั้งไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารที่คนไทยให้ความนิยม พร้อมนำเสนอเมนูที่ทั้งรสชาติอร่อย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

คุณต้องใจ ธนะชานันท์ ผู้อำนวยการคณะจัดงาน Sustainability Expo 2025 (SX 2025) กล่าววว่า ​โซน SX FOOD FESTIVAL 2025 ในปีนี้ ได้รวบรวมร้านอร่อยชื่อดัง ทั้งจากเชฟมืออาชีพระดับประเทศจากหลายเวที อาทิ MasterChef, TOP CHEF, IRON CHEF , Hell’s Kitchen Thailand ​รวมทั้งสุดยอดร้านสตรีทฟู้ดจากThe Spoon ช้อนทองคำ ที่มาร่วมสร้างสรรค์เมนูอร่อย​เสิร์ฟกันสดๆ ​ท่ามกลางบรรยากาศจำลองแลนด์มาร์กสุดฮิตจากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้บรรดาร้าน SME สตรีทฟู้ดชื่อดังมาร่วมออกงานโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

“ไม่เพียงความอิ่มอร่อย แต่ภายในงาน SX FOOD FESTIVAL 2025 ยังสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับความยั่งยืนไว้ให้ได้เรียนรู้ในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นภาชนะทั้งหมดภายในงานที่สามารถย่อยสลายได้  การเรียนรู้เรื่อง​การคัดแยกขยะ ที่มีจุดคัดแยกขยะกระจายรวมกันกว่า 10 แห่ง และเจ้าหน้าที่ประจำทุกจุดเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับ​การคัดแยกประเภทของขยะ รวมทั้งการจัดการ​ขยะอาหาร (Food Waste) อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้จะมีการชดเชยปริมาณคาร์บอนจากการจัดงานตลอดทั้ง 10 วัน เพื่อให้เป็นอีเวนท์มีความเป็นกลางทางคาร์บอน Carbon Neutral โดยคาดว่าจะมีการปลดปล่อยคาร์บอนในภาพรวมการจัดงาน  SX2025 โดยรวมมากกว่า 1 หมื่นตัน CO2e จาก​ภาพรวมผู้มาร่วมงานทั้งหมดทั้งออนไลน์และออนไซต์ ตลอดทั้ง 10 วัน รวมกันประมาณ 9 แสนคน​” 

เรียนรู้นิทรรศการ 10 นวัตกรรมสร้าง Food Security

นอกจาก​จากร้านอาหารกว่าร้อยร้านค้าดัง และฝีมือเชฟระดับประเทศแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญในปีนี้ คือ การเกาะติดเทรนด์อาหารแห่งอนาคตที่ดีต่อสุขภาพ ​กินแล้วจะส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาว (longevity) ​ควบคู่ไปกับการเรียนรู้เรื่องความยั่งยืนภายในงาน ผ่านการจัดแสดง 10 นิทรรศการอาหารยั่งยืน ​และการสร้างความมั่นคงทางอาหาร  ประกอบด้วย

1. Prebiotics & Probiotic  : พรีไบโอติกส์ และ โพรไบโอติกส์

พรีไบโอติกส์ คือ เส้นใยอาหารหรือสารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ แต่จะกลายเป็นอาหารของจุลินทรีย์ดีที่อยู่ในลำไส้ เมื่อกินเข้าไปจะช่วยกระตุ้นให้จุลินทรีย์ดีเจริญเติบโตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักพบใน กีวีสีทอง แครอทม่วง กล้วย กระเทียม ข้าวโอ๊ต

โพรไบโอติกส์ คือ จุลินทรีย์ที่มีชีวิตและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น พร้อมเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยดูดซึมสารอาหาร มักพบในผักดอง กิมจิ โยเกิร์ต หรือชาหมักคอมบูชะ

เมื่อพรีไบโอติกส์ และโพรไบโอติกส์ทำงานร่วมกันจะเกิด​ SYNBIOTICS ช่วยเสริมกันและกัน ทำให้ระบบย่อยทำงานดีขึ้น ดูดซึมสารอาหารได้มีประสิทธิภาพ ลดอาการท้องผูก เสริมภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อโรคลำไส้และระบบเผาผลาญ

2. Precision Agri-culture : เกษตรแม่นยำ 

แนวทางการทำเกษตรสมัยใหม่ที่นำข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้เกษตรกรใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีหลักการสำคัญคือ การใช้เซ็นเซอร์ IOT เพื่อตรวจวัดสภาพแวดล้อม เช่น ความชื้นในดิน อุณหภูมิ และระดับสารอาหารในดิน โดยการประมวลผลข้อมูลด้วย AI เพื่อวิเคราะห์และแนะนำการจัดการฟาร์มอย่างแม่นยำ เช่น การให้น้ำ หรือปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม และการตรวจจับศัตรูพืชอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังใช้โดรนเพื่อติดตามภาพถ่ายทางอากาศ รวมถึงการใช้พ่นน้ำ ปุ๋ย หรือสารเคมีแบบเฉพาะจุด

ผลลัพธ์ของเกษตรแม่นยำ คือ ​ลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร ลดต้นทุนการผลิต และผลกรทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน

3. Air Protein : โปรตีนจากอากาศ 

โปรตีนทางเลือกประเภทใหม่ที่ถูกพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์ล้ำสมัย ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Precision Fermentation การผลิตโปรตีนชนิดนี้ ไม่ต้องใช้ดิน ไม่ต้องเลี้ยงปศุสัตว์และไม่ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำจำนวนมาก แต่ใช้เพียงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในอากาศ น้ำ และพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์  โดยมีจุลินทรีย์พิเศษทำหน้าที่เปลี่ยน CO2 และน้ำให้กลายเป็นผงโปรตีนบริสุทธิ์ ที่มีกรดอะมิโนครบถ้วนไม่ต่างจากโปรตีนในพืชหรือสัตว์ทั่วไป โดยโปรตีนผงนี้สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง พาสต้า เครื่องดื่มไปจนถึงผลิตภัณฑ์เนื้อทางเลือก ​

ข้อ​ดีที่สำคัญ คือ กระบวนการนี้ใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อย แต่ผลิตโปรตีนได้มากกว่าการเลี้ยงปศุสัตว์หลายสิบเท่า และยังช่วยดูดซับ CO2 ออกจากอากาศบรรยากาศ ลดปัญหาภาวะโลกร้อน และสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนให้โลกของเราด้วย

4. Sustainable Aquaculture : การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันความต้องการอาหาร​ทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การจับปลา​จากธรรมชาติกลับทำให้ทรัพยากรทางทะเลลดลง เกิดปัญหาการทำประมงเกินขนาด และส่งผลให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม​​​ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน หรือการเลี้ยงปลาแบบระบบปิดที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิดร่วมกัน เพื่อเลียนแบบระบบนิเวศจริงตามธรรมชาติจึงเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยผลิตโปรตีนคุณภาพสูงโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

โดยแนวทางสำคัญมีหลายด้าน เช่น

– การใช้ระบบหมุนเวียนน้ำที่ช่วยบำบัดและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ลดการปล่อยน้ำเสียสู่แหล่งธรรมชาติ การเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิดร่วมกัน เช่น เลี้ยงปลาและกุ้งร่วมกับสาหร่ายและหอย เพื่อให้ของเสียจากสัตว์น้ำกลายเป็นอาหารของอีกชนิดหนึ่ง​​ เกิดเป็นระบบนิเวศเล็กๆ ที่สมดุล

– การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งเซ็นเซอร์ IOT ตรวจวัดคุณภาพน้ำ อุณหภูมิ และออกซิเจนในบ่อ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยวิเ​คราะห์ข้อมูล ทำให้การให้อาหารแม่นยำขึ้น ลดการสูญเสีย และลดต้นทุน

–  การเลือกใช้อาหารสัตว์น้ำที่ยั่งยืน ลดการพึ่งพาการจับปลาป่ามาทำเป็นอาหาร แต่หันมาใช้วัตถุดิบโปรตีนจากพืช แมลง หรือสาหร่ายแทน

ผลลัพธ์ของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน คือ การได้อาหารทะเลที่ปลอดภัย มีคุณภาพสูง ช่วยลดแรงกดดันจากการจับปลาในธรรมชาติ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างสมดุลให้กับมหาสมุทรและแหล่งน้ำ

5. Edible Cutlery & Tableware : อุปกรณ์รับประทานอาหารและภาชนะกินได้ 

นวัตกรรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนช้อนส้อม แก้ว และจานพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use) โดยทำจากวัตถุดิบที่สามารถกินได้จริง และย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ นอกจากช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกแล้ว ภาชนะกินได้ยังเพิ่มมูลค่าให้วัตถุดิบทางการเกษตรและของเหลือใช้ ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจอาหารและสิ่งแวดล้อม

6. WASTE- TO -ENERGY (WTE) : เทคโนโลยีเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน

นวัตกรรมเปลี่ยนอาหารที่เหลือ​ หรือเศษอาหารจากตลาด ร้านอาหาร และโรงแรม ให้กลายเป็นพลังงาน ด้วยเทคโนโลยี  WTE ( WASTE-TO-ENERGY) ด้วยการนำอาหาร หรือขยะอินทรีย์เข้าสู่กระบวนการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน โดยมีจุลินทรีย์เป็นตัวช่วย เปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็นก๊าซชีวภาพ (BIOGAS) ซึ่งอุดมไปด้วยก๊าซมีแทน ก๊าซนี้สามารถนำไปผลิต​กระแสไฟฟ้า ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม หรือแม้กระทั่งใช้เป็นเชื้อเพลิงรถบัสและรถขนส่งได้

นอกจากนี้ กากที่เหลือจากการย่อยสลาย ยังสามารถแปรรูปเป็นปุ๋ยชีวภาพ กลับคืนสู่ไร่นา ช่วยลดการใช้ปุ้ยเคมี และทำให้วงจรของอาหารกลายเป็นระบบหมุนเวียนที่ยั่งยืน ทำให้เศษอาหารที่เป็นภาระสังคม กลายเป็นพลังงานใหม่ที่มีประโยชน์ช่วยลดปริมาณขยะฝังกลบ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจได้ด้วย WTE จึงไม่ใช่เพียงการจัดการขยะอาหาร แต่คือการเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสเปลียนสิ่งที่เหลือทิ้งให้เป็นพลังงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทุกคน​

7. Upcycled Food Products :  ผลิตภัณฑ์จากการอัพไซเคิลอาหาร 

นวัตกรรมการแปรรูปอาหารเหลือทิ้ง หรือวัตถุดิบที่ไม่ได้มาตรฐานทางการค้าให้นำกลับมาใช้ใหม่ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคคุณค่า ทั้งด้านโภชนาการและเศรษฐกิจ

สิ่งสำคัญของการอัพไซเคิล คือ ทำให้สิ่งไร้ค่ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยใช้กระบวนการคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และความปลอดภัยทางอาหารควบคู่กัน ผลิตภัณฑ์ที่ได้ ไม่เพียงตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพแต่ยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) แต่ยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร

8. Drought Resistance & Climate Resilience Crop :  พืชทนแล้งและทนสภาพอากาศ 

พืชที่ถูกคัดเลือก ปรับปรุงพันธุ์ หรือพัฒนาให้สามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เช่น ภาวะแห้งแล้ง อุณหภูมิสูง หรือฝนไม่ตกตามฤดูกาล พืชเหล่านี้จึงกลายเป็นคำตอบสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับโลก

ความสำคัญของพืชทนแล้งและทนสภาพวากาศ ไม่ได้มีแค่เรื่องการเอาตัวรอดจากความรุนแรงของภูมิอากาศ แต่ยังช่วยเกษตรกรลดความเสี่ยงจากการสูญเสียผลผลิต ทำให้สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นทางเลือกสำคัญในการใช้พื้นที่เกษตรที่มีทรัพยากรน้ำอย่างจำกัดอย่างคุ้มค่า ที่สำคัญยังสนับสนุน​เป้าหมายด้านความยั่งยืนของโลก เพราะช่วยลดแรงกดดันต่อทรัพยากรน้ำ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างระบบอาหารที่พร้อมรับมือวิกฤตภูมิอากาศในอนาคต

9. Vertical & Indoor Farming :  เกษตรแนวตั้งและเกษตรในร่ม

การปลูกพืชเป็นแนวตั้งหรือการซ้อนชั้นในอาคาร รวมท้ัง​โครงสร้างที่ควบคุมสภาพแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีอย่างระบบ ไฮโดรโปนิกส์ หรือแอโรโปนิกส์ ร่วมกับแสงประดิษฐ์ (LED) และระบบน้ำหมุนเวียน เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้ตลอดปีในพื้นที่จำกัด

การทำเกษตรแบบนี้ ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ โดยสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิมหรือน่อยกว่า และประหยัดน้ำลง 90-95% เมื่อเทียบกับการทำเกษตรแบบดั้งเดิม รวมทั้งลดการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง เพราะปลูกในระบบปิดจึงช่วยควบคุมแมลงและโรคพืช ขณะที่ผลผลิตมีได้ตลอดทั้งปี และลดการขนส่งเพราะสามารถปลูกใกล้แหล่งบริโภคภายในเมืองได้

10. Super Foods : ซูเปอร์ฟู้ดส์ 

ซูเปอร์ฟู้ดส์ คือ กลุ่มอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง มีวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่าอาหารทั่วไปในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน และที่สำคัญคือ อาหารคือยา เมื่อเรากินอาหารทีมีคุณภาพ ร่างกายก็จะแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ เช่น

บลูเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยปกป้องเซลล์ ลดการเสื่อมของสมองและระบบประสาท,  อะโวคาโด เต็มไปด้วยไขมันดี ลดคอเลสเตอรอล และบำรุงหัวใจ,  เมล็ดเจีย อุดมด้วยโอเมก้า 3 และใยอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย และลดการอักเสบในร่างกาย, ควินัว เป็นธัญพืชทีมีโปรตีน ครบถ้วน  9ชนิด  เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และภูมิคุ้มกัน และ​โกจิเบอร์รี่ มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุมกันและบำรุงสายตา เป็นต้น

ซูเปอร์ฟูดส์ ไม่ใช่อาหารพิเศษที่กินแล้วหายป่วยทันที แต่หากเรารับประทานอย่างต่อเนื่อง จะทำงานเหมือนยาป้องกันโรค ช่วยเสริมภูมิคุ้ม ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ

อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจเพื่อ​เรียนรู้เรื่อง​ความยั่งยืน พร้อมทั้งสามารถชิมอาหารอร่อยๆ ไปได้พร้อมกัน ในโซน SX FOOD FESTIVAL 2025  ส่วนหนึ่งของงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน- วันที่ 5 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

งานเดียวที่​จะได้ทั้งความอิ่มอร่อยสุดล้ำไปกับเทศกาลอาหารแห่งโลกอนาคตแล้ว ​พร้อมอัพเดทเทรนด์ด้านความยั่งยืนทุกมิติ เพื่อก้าวตามให้ทันกระแสโลก ตลอด 10 วัน เพื่อมีส่วน​ร่วมในการกอบกู้โลกใบนี้ไปด้วยกัน

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของ SX ได้ทาง Facebook Page : Sustainability Expo, www.sustainabilityexpo.com และแอดไลน์ @sxofficial เพื่อร่วมสนุกไปกับกิจกรรมการสะสมแต้ม ลุ้นรับรางวัลมากมาย ตลอด 10 วัน ที่จะชวนคุณมาร่วมกอบกู้โลกใบนี้ไปด้วยกันที่ Sustainability Expo 2025: พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” เพราะโลกที่ดีกว่า…เริ่มต้นได้จากเราทุกคน