Dialogue

Trump or Threats ‘ทรัมป์’ ภัยคุกคามความยั่งยืน

การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 ของ โดนัลด์ทรัมป์ พร้อมนโยบาย ‘Make America Great Once Again’ กับการประกาศขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนชาวอเมริกาเป็นสำคัญ AmericaFirst

ผ่าน​หลายนโยบายที่ขับเคลื่อน ส่งผลให้ทั้งโลกจับตามอง ประเมินสถานการณ์ พร้อมผลกระทบที่จะเกิดภายในประเทศตัวเอง​ โดยเฉพาะแผนงาน ความยั่งยืน ที่เป็นหนึ่งในวาระหลักของหลายประเทศ แต่ทว่าอาจสวนทางกับสิ่งที่ทรัมป์ต้องการผลักดันและขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็น

ด้าน สิ่งแวดล้อม (Environment)
• แผนการยกเลิกกฎข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม
• เดินหน้าถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ( Paris Agreement )
• การถอนตัวจาก WHO
• ระงับการสนับสนุนกองทุน Green Climate Fund
• สนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศ
• ผ่อนปรนข้อจำกัดโรงไฟฟ้า
• สนับสนุนการพัฒนาน้ำมันและก๊าซในประเทศ

ด้านสังคม และการกำกับดูแล (Social Governance)
• เศรษฐกิจเติบโต สำคัญกว่าคุ้มครองสิทธิแรงงาน
• ต่อต้านกฎหมายความเท่าเทียมทางเพศ
• ยกระดับการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง
• เลิกสนับสนุนกลุ่มผู้ลี้ภัย
• ฟื้นฟูรูปแบบการจ้างงานที่พิจารณาจากผลงานเป็นสำคัญ
• ยุติโครงการ DEI หรือโครงการที่ส่งเสริมด้านความหลากหลายและความเสมอภาคของการอยู่ร่วมกันในสังคม

พร้อมการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนนโยบาย Trump 2.0 ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศท้าทายมากขึ้น เนื่องจาก สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการปล่อย Carbon Emission ในระดับสูง, การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดชะลอตัว โดยเฉพาะ​กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องอาศัยการสนับสนุนจาก Green Climate Fund ในการปรับตัวและรับมือผลกระทบปัญหาสภาพอากาศ

รวมทั้งความโปร่งใสในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของธุรกิจ จากการปกปิดข้อมูลในการรายงานการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจ ​รวมทั้ง​​ความเสี่ยงในการบริหารแรงงาน จากการโฟกัสที่การเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของแรงงาน รวมทั้งการไม่ให้ความสำคัญในเรื่องของความหลากหลายและเท่าเทียม ทำให้อาจเพิ่มข้อพิพาทด้านความเป็นธรรมเพิ่มมากขึ้นได้

ขณะที่ SCB EIC ยัง​วิเคราะห์ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ทั้งระดับโลกและไทย ​โดยมองว่า​​​นโยบาย ทรัมป์ 2.0 จะสร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจโลก 5 ด้าน คือ

1. นโยบายขึ้นภาษีนำเข้า : คาด​ผลกระทบครอบคลุม 25% ของมูลค่าการค้าโลก หรือกว่า 6% ของมูลค่าเศรษฐกิจโลก

2. ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก : จากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศต่างๆ ​คาดการลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรปจะลดลงราว 4% เทียบกับกรณีไม่มีนโยบายนี้ ขณะที่จีนและประเทศอื่น​ จะได้รับผลกระทบราวครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ

3. นโยบายลดภาษี : สหรัฐฯ ต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีนิติบุคคล หรือ Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) ไปอีก 10 ปีจนถึงปี 2034 หลังมาตรการเดิมจะหมดอายุในช่วงกลางปี 2025 ซึ่งจะทำให้ภาษีเงินได้จากธุรกิจสหรัฐฯ ลดลงรวม 4% ของ GDP ในช่วงเวลาดังกล่าว

4. นโยบายกีดกันผู้อพยพ : คาดว่าจะกระทบ​แรงงานสหรัฐฯ และยูโรโซนลดลง 1% และ 0.75% ภายในปี 2030 ตามลำดับ

5. ภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้น : ภาวะการเงินโลกมีแนวโน้มตึงตัวขึ้น จากผลกระทบทางลบและความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก

ขณะที่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ด้​านการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะตลาดส่งออกไปสหรัฐซึ่งเป็น​ตลาดส่งออกสำคัญของไทยจะขยายตัวลดลง และการลงทุนที่อาจซบเซาลง นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน ทำให้การย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทยจึงอาจยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้นหรือเป็นไปได้ช้า รวมถึงความเสี่ยงกดดันการลงทุนจะมีมากขึ้นในระยะต่อไป