PR News

เสียงเล็กๆ จาก”ชุมชนเกาะกลาง” บทพิสูจน์ขยะรีไซเคิลสร้างรายได้-ยกระดับคุณภาพชีวิตได้จริง ต้นแบบการจัดการขยะและเศรษฐกิจหมุนเวียนจากระดับฐานราก

ท่ามกลางปัญหาการจัดการขยะที่ท้าทายของไทย คนตัวเล็กๆ จาก “ชุมชนเกาะกลาง” ได้ลุกขึ้นมาพิสูจน์ให้เห็นว่า “ขยะไม่ใช่ขยะ” หากจัดการอย่างถูกวิธี และ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” สามารถเกิดขึ้นได้จริงจากระดับฐานราก ขยะรีไซเคิลสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและปากท้อง สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในชุมชน


เบื้องหลังความสำเร็จนี้ขับเคลื่อนด้วยหัวใจของคนธรรมดาที่ไม่ยอมแพ้ อิ๋ว – จุไรรัตน์ เครือพิมาย และ จ่อย – ผ่องศรี สอนคุ้ม สองกำลังสำคัญของศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะชุมชนเกาะกลาง ชุมชนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เกาะเล็ก ๆ ขนาด 3 ไร่ กลางคลองพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ชุมชนเกาะกลางไม่ต่างจากหลายชุมชนในเมืองหลวงที่ชีวิตดำเนินไปอย่างตัวใครตัวมัน ด้วยสภาพพื้นที่ที่เป็นเกาะทำให้ขนย้ายขยะออกไปได้ยาก ขยะจำนวนมากจึงถูกทิ้งรวมกันในที่สาธารณะ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน ทุกคนเห็นปัญหาแต่จำยอมกับสภาพที่เป็นอยู่

ปี 2552 คือปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมความสูญเสียครั้งใหญ่ เหตุเพลิงไหม้ที่เกิดจากปัญหายาเสพติดได้เผาผลาญบ้านเรือนไป 19 หลังคาเรือน ส่งผลให้ 33 ครอบครัวกลายเป็นผู้ประสบภัยในชั่วข้ามคืน

จากวิกฤตสิ้นเนื้อประดาตัวสู่จุดเปลี่ยน

“เรากลายเป็นผู้สูญเสีย เอาอะไรออกมาไม่ได้เลย ได้แค่เสื้อผ้าติดตัวคนละชุด ต้องไปอยู่ใต้ทางด่วน ได้แต่ยืนดูความหายนะของบ้านตัวเอง” อิ๋ว – จุไรรัตน์ หนึ่งในผู้ประสบภัย เล่าด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเจ็บปวด

เหตุการณ์นี้เป็นบาดแผลครั้งใหญ่ที่ทำให้ตัวเธอและชาวบ้านคนอื่น ๆ ต้อง “ลุกขึ้นมาจัดการตัวเองครั้งใหญ่” เพราะ..”ถ้าจะมานั่งรอให้คนอื่นเขามาช่วยเหลือ มันไม่มีทาง”

จากความสิ้นหวังในกองเถ้าถ่านวันนั้น คือ จุดพลิกผันที่ทำให้ชุมชนเกาะกลางก้าวสู่การจัดการปัญหาที่อยู่อาศัย จากนั้นจึงขยับมาสู่งานด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่องขยะอย่างจริงจัง

จากสองชีวิตที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ด้วยหัวใจที่รักการช่วยเหลือสังคม เห็นอะไรที่รกหูรกตาก็อยากจัดการให้ดีขึ้น ทำให้ อิ๋ว-จุไรรัตน์ และ จ่อย-ผ่องศรี ได้กลายมาเป็น “ผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน” ทั้งคู่เล่าว่า การเริ่มต้นรณรงค์ให้คนในชุมชนหันมาแยกขยะไม่ใช่เรื่องง่าย คำพูดที่ได้ยินจนชินหูคือ “โอ๊ย! มันทำไม่ได้หรอก” หรือ “จะแยกไปทำไม คนไทยจะบอกทิ้ง ๆ ไปเถอะ”

สิ่งที่ต้องทำคือเปลี่ยนความคิดคนในชุมชน โดยเริ่มจากตัวเราและครอบครัวทำให้เห็นก่อน จึงจะไปบอกคนอื่นได้ ทั้งการทำน้ำหมักชีวภาพใช้เอง แยกขยะให้เห็นว่ามันสร้างมูลค่าได้ ต้องสื่อสารให้ชาวบ้านเข้าใจว่า “ถ้าทิ้งสุม ๆ กันนั่นแหละคือขยะ แต่เมื่อไหร่ที่แยกขวด แยกพลาสติก แยกทุกอย่างออกมา แล้วก็เศษอาหารออกไป นั่นแหละมันคือมูลค่า”

ทั้งคู่ใช้วิธี “พูดซ้ำ ๆ บอกบ่อย ๆ และทำให้เห็น” สิ่งสำคัญคือการสร้างแรงจูงใจ ทุกครั้งที่ประชุมกัน จุไรรัตน์จะมีของติดไม้ติดมือที่ทำเองจากของเหลือใช้ เช่น สบู่ น้ำยาล้างจาน ให้ชาวบ้านเพื่อแลกกับการเสียเวลามานั่งฟัง การแสดงให้เห็นว่าการแยกขยะนั้นสร้างรายได้และช่วยลดปริมาณขยะได้จริง ทำให้ผู้คนหันมาสนใจมากขึ้น และเมื่อชุมชนได้รับรางวัลจากโครงการต่าง ๆ ก็ยิ่งเป็นกำลังใจ

DOW พันธมิตรที่เข้ามา”เสริมแรง”

การสนับสนุนจากภายนอก ยังเป็น “แรงเสริม” ที่สำคัญทำให้เกิดพลังในการขับเคลื่อน หนึ่งในนั้นคือ “กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow)” ที่เข้ามาให้ “ความรู้” และ “เครื่องมือ” ที่ยกระดับการทำงานของชุมชน

“เขามาสอนว่าเราจะคัดแยกขยะประเภทต่าง ๆ ยังไง พวกถุงพลาสติกก็มีราคา เราเพิ่งจะรู้ ” ผ่องศรี เล่า” แต่ก่อนชาวบ้านจะรู้แค่กล่อง ขวด ลังเบียร์ที่ขายได้ นอกนั้นทิ้งรวมกันหมด พอ Dow เข้ามา เขาก็มาสอนพวกนี้”

Dow ยังสนับสนุนเครื่องมือที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เครื่องอัดขวดพลาสติก ที่ช่วยแก้ปัญหาพื้นที่จัดเก็บที่จำกัด ทำให้ขนส่งง่ายและขายได้ราคาดีขึ้น”

Dow เหมือนมาเสริมแรงให้เรา ทำให้ชุมชนมีแรงบันดาลใจ ก็ต้องขอบคุณ Dow และทุกๆ หน่วยงานที่สนับสนุนเราจนมีวันนี้” จุไรรัตน์ กล่าว

Dow ยังได้ร่วมสนับสนุนการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะชุมชนเกาะกลาง” อย่างเป็นทางการ จนเกิดกลไกในการรับซื้อขยะรีไซเคิลที่คนในชุมชนบริหารจัดการกันเอง โดยมี “ผ่องศรี” ผู้จัดการศูนย์ฯ และ “จุไรรัตน์” ผู้ประสานงานศูนย์ฯ เป็นสองกำลังหลักที่ทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน แต่ขับเคลื่อนการจัดการขยะด้วยใจอาสาและความสุขที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลง

จาก “ทำไปทำไม” สู่ “ทำได้จริง”
ขยะสร้างรายได้ เปลี่ยนชีวิต

วันนี้ หากใครได้ไปเยือนชุมชนเกาะกลาง จะเห็นภาพที่แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง พื้นที่ที่เคยรกและสกปรกกลับสะอาดตาเป็นระเบียบ มีถังขยะแยกประเภทตั้งอยู่เป็นจุด ๆ”แม้แต่ไรเดอร์ที่มาส่งอาหารยังชมเลยว่า ที่นี่สะอาด น่าอยู่” จุไรรัตน์ เล่าด้วยความภูมิใจ

ปัจจุบัน ชาวบ้านประมาณครึ่งหนึ่งในชุมชนได้หันมาคัดแยกขยะอย่างสม่ำเสมอ โดยศูนย์ฯ รับซื้อขยะรีไซเคิลแทบทุกประเภท รวมถึงขยะที่ขายไม่ได้ก็ช่วยรับฝากส่งต่อให้เขต ส่วนขยะอาหารก็นำไปทำปุ๋ย และมีการสะสมแต้มเพื่อแลกสิ่งของ เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ มาม่า สบู่ ฯลฯ

ที่ผ่านมา ชุมชนเกาะกลางมีรายได้จากการขายขยะเฉลี่ยประมาณ 300 บาท /เดือน /ครัวเรือน และเมื่อรวมทั้งหมด สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชนได้ถึงปีละนับแสนบาท

ทั้งคู่เล่าว่า ทุกวันนี้ “ขยะ” ไม่ใช่สิ่งไร้ค่าอีกต่อไป แต่เป็นแหล่งรายได้เสริมที่เลี้ยงปากท้องของใครหลายคนในชุมชน ตัวอย่างเช่น “ยายนำ” ที่มีอาชีพเป็นแม่บ้านทำความสะอาด รวบรวมขยะจากบริษัทและที่บ้าน นำมาขายที่ศูนย์ฯ ได้เงินมากถึงเดือนละ 2,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีผู้สูงอายุที่นำขยะมาแลกเงินเป็นค่ากับข้าวหรือค่าขนมให้หลานไปโรงเรียน
ขยะกลายเป็นความหวังในยามขัดสน “มีบางคนที่เขาจะมาถามว่าเมื่อไหร่จะเปิดรับซื้อขยะ ฉันไม่มีเงินกินข้าว” ผ่องศรี ผู้จัดการศูนย์ฯ เล่า “เราก็จะบอกว่าเอามาเลย เดี๋ยวให้เงินก่อน ไม่ต้องรอถึงวันนัด”

“ขยะที่เคยถูกมองว่าไร้ค่า ตอนนี้มันกลายเป็นทุกอย่าง” จุไรรัตน์กล่าว “มันคือความสบายใจ คือความสุขที่ได้เห็นชุมชนสะอาด และคือเงินที่ช่วยต่อชีวิตให้คนในยามลำบาก”

ปัจจุบัน โครงการจัดการขยะของเกาะกลางได้ขยายผลไปยังชุมชนนอกเกาะ โดยเฉพาะบริเวณใต้ทางด่วน ที่มีสมาชิกเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอีก 27 ครัวเรือน และกำลังขยายออกไปเรื่อยๆ

“ช่วยกันลงมือทำ ดีกว่าพูด”

เมื่อถามถึงกระแสที่ว่า “การรีไซเคิลเป็นเพียงเรื่องลวงโลก หรือสร้างภาพ ทำไปก็เท่านั้น” จุไรรัตน์ ในฐานะผู้ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงด้วยตาตัวเอง ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “มันทำได้จริง ๆ ” และ “มาช่วยกันทำดีกว่า”

“ตัวเราเองก็เคยต่อต้านนะว่าแยกไปเดี๋ยวเขาก็เทรวม แต่สุดท้ายเราไปตามดูถึงที่…กทม.เขาก็แยกจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ต้องสื่อสารว่ามันทำได้จริง ตลาดรีไซเคิลมีอยู่จริง ขายได้จริง และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากขยะรีไซเคิลก็ใช้งานได้จริง” จุไรรัตน์ ยกตัวอย่างผ้าห่มที่เคยรับแจกตอนไฟไหม้ ก็ทำมาจากขวดพลาสติก

“ทุกวันนี้เราเห็นแล้วว่าภาวะโลกร้อนมันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ถ้าเราไม่เริ่ม แล้วใครจะเริ่ม”

เรื่องราวของชุมชนเกาะกลางได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พลังของคนตัวเล็ก ๆ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้จริง การจัดการขยะไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับชุมชน เปรียบเหมือนการ “จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด” ที่พร้อมจะส่องสว่างเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมไทยหันมาเห็นคุณค่าของ “ขยะ” และร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม