Top StoriesTrending

‘เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน – ยกระดับ SMEs – รับมือโลกรวน’ ​3 โจทย์ ‘​ESG Symposium 2025’ ​เร่งไทยบรรลุคาร์บอนต่ำ เน้น ‘แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย ขับเคลื่อนได้จริง’

ESG Symposium 2025 ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘GREEN BREAKTHROUGH AMID THE PERFECT STORM : เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ พร้อม 3 โจทย์สำคัญ ​เพื่อร่วม​ขับเคลื่อน​การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและ​สร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง ESG Symposium 2025 จัดขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ อย่างเป็นรูปธรรมที่ต้อง ‘แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง’ 

โดยเน้น 3 วาระสำคัญ ได้แก่ 1. การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด (Energy Transition) 2. การยกระดับ SMEs สู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำครบวงจรและเป็นธรรม (Just Transition for SMEs) และ 3. การเตรียมพร้อมรับมือโลกรวน (Climate Adaptation) เสริมขีดความสามารถแข่งขันระดับสากล รับมือความผันผวนทั้งโลกรวน และเศรษฐกิจโลกอย่างทันท่วงที

คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ESG Symposium เป็นแพลตฟอร์ม ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘GREEN BREAKTHROUGH AMID THE PERFECT STORM – เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ เพื่อร่วมออกแบบและขับเคลื่อนนโยบายและโครงการที่ทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้และยั่งยืน ผ่านการระดมความเห็น และการเสนอแนะจากผู้นำระดับ Top Leader มากกว่า  300 คน ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน

โดยในปีนี้ ข้อเสนอจาก ESG Symposium 2025  เพื่อร่วม​ขับเคลื่อน​การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย

1. ปลดล็อก ปรับโครงสร้าง วางระบบพลังงานเสรีครบวงจร เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน

เร่งวางระบบพลังงานเสรีอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าด้วยมาตรฐาน TPA Code (Third Party Access) และการส่งเสริมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) พร้อมปรับโครงสร้างระบบพลังงานให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ในต้นทุนที่เหมาะสม เพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า สำหรับรับมือกับ ความผันผวนในระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ยกระดับ SMEs สู่ความยั่งยืนและแข่งขันได้จริง

จัดตั้ง One Stop Service เพื่อให้ SMEs เข้าถึงเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยีได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน และเปิดโอกาสให้ SMEs เข้าสู่ตลาดแข่งขันได้จริง

ขณะเดียวกันเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีสีเขียวและดิจิทัล พัฒนาทักษะแรงงานผ่านการอบรมและ Skill Matching เตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงของตลาด พร้อมสร้าง Ecosystem ที่เชื่อมโยงแผนพัฒนาระดับชาติ และวาระลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ SMEs เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน

3. เร่งเตรียมความพร้อมปรับตัวรับมือโลกรวน ด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ

ดำเนินการวางรากฐานการปรับตัว ต่อสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ประโยชน์ พร้อมศึกษาและนำแนวทางนโยบายจากต่างประเทศ มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของไทย เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤติโลกรวน

“ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ และภาวะเศรษฐกิจโลก จากสงครามการค้า จึงต้องเร่งวางกรอบกลยุทธ์ที่  ‘แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง’ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก พร้อมสร้างรากฐานอย่างยั่งยืน โดยสิ่งที่ตกผลึกได้จาก ESG Symposium 2025 จะมีการสรุปเป็น White Paper เพื่อนำส่งและเสนอแนะเป็นแนวทางในการขับเคลื่อน และกรอบการทำงานร่วมกับนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อเป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนและเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ” ​

TPA กระดุมเม็ดแรก ปลดล็อกพลังงานสะอาด

ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ​ระบบพลังงานของไทยเผชิญแรงกดดันทั้งจากเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก NDC 3.0 การตอบรับมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป และความจำเป็นในการยกระดับดัชนี Energy Transition Index เพื่อความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค การขับเคลื่อนเรื่องนี้ในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องเน้นทำผ่าน​กรอบ  ‘ชัด คล่อง เป็นจริง’ โดยมุ่งเน้นการเปิดตลาด Direct PPA ที่โปร่งใสเพื่อดึงดูดการลงทุนพลังงานหมุนเวียน การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน และไฮโดรเจน พร้อมสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อวางรากฐาน Green Infrastructure ที่มั่นคงและยั่งยืน รวมทั้งพัฒนาแรงงานทักษะสีเขียว โดย TDRI พร้อมสนับสนุนงานวิจัยและนโยบาย ในทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่านนี้

“ประเทศไทยมีศักยภาพในการขับเคลื่อนเรื่องพลังงานสะอาด (Renewable) ทั้งพลังงานโซลาร์  ไบโอแมส  ไบโอแกส หรือพลังงานลม ซึ่งหากในอนาคตมีเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น จะยิ่งเพิ่ม​ศักยภาพในการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่สามารถขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนพลังงานสะอาดราว 10-15% ซึ่งหากต้องการขับเคลื่อนเป้าหมายให้เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2030 ต้องเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดขึ้นมาเป็น 74% และหากต้องการผลักดันตามเป้าหมาย ภาครัฐจำเป็นต้องให้สิทธิในกา​รจัดส่งไฟฟ้าได้อย่างเสรีกับภาคเอกชน หรือ TPA ซึ่งถือเป็นกระดุมเม็ดแรกที่สำคัญ เพราะตอนนี้ประเทศไทยมีความต้องการใช้ Renewable เยอะมาก ทั้งภาคอุตสาหกรรม หรือภาคส่งออก รวมทั้งมีผู้ผลิตที่มีศักยภาพ มีคุณภาพของพลังงานสะอาดที่มีศักยภาพ แต่ผู้ผลิตยังไม่มีความมั่นใจว่า หากผลิตมาแล้วจะสามารถจัดส่งอย่างเสรีได้หรือไม่ จึงต้องปลดล็อกด้วย TPA ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนได้อย่างมีอัตราเร่ง” ดร.อารีพร กล่าว

นอกจากนี้ จำเป็นต้องส่งเสริมเทคโนโลนี SMR หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าทั้งในเรื่องของความสะอาด (Clean Energy) และความเสถียร (Energy Security) รวมทั้งยังมีต้นทุนที่ไม่แพง ขณะที่​การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ในหลายๆ ประเทศ​มีความปลอดภัยเป็นอย่างดี แต่ในส่วนของประเทศไทย จำเป็นต้องเร่งสร้างทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัย​ ​เพื่อสร้างการยอมรับจากประชาชน​ ซึ่งถือเป็นการบ้านสำคัญของภาครัฐในการ​​ขับเคลื่อนให้โครงการ SMR เกิดขึ้นได้จริง

เร่งพัฒนาโซลูชันทางการเงิน ช่วยผู้ประกอบรายเล็ก​

ด้าน ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย กล่าวว่า MSMEs (Micro & Small, Medium Enterprises) ซึ่งเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจไทยกว่า 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ หรือมีรวมกันที่ราว 3.25 ล้านราย และมีการจ้างงานกว่า 13 ล้านคน และสร้างผลผลิตให้ประเทศกว่า 35% ของ GDP โดยในจำนวนนี้ แบ่งเป็น กลุ่มผู้ประกอบการในระดับไมโคร หรือกลุ่มวิสาหกิจรายย่อย​ 84.5% หรือ 2.75 ล้านราย, ระดับเล็ก หรือวิสาหกิจขนาดย่อม 13% หรือ 4.2 แสนราย, วิสาหกิจ​ขนาดกลาง 2% หรือ 6.5 หมื่นราย และวิสาหกิจขนาดใหญ่ 0.5% หรือ 1.5 หมื่นราย

โดยกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจทั้ง MSMEs เหล่านี้ยังคงเผชิญกับ 4 ความท้าทายหลัก ได้แก่ การเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสเชื่อมโยงตลาดใหม่ กฎระเบียบที่ยังซับซ้อน และขาดทักษะอนาคต ​จึงจำเป็นต้อง​กำหนดแนวทางเพื่อช่วยเหลือให้ครอบคลุมทั้งมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อเพิ่มความสามารถในการเติมทุนหมุนเวียนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม Micro และ Small Entrepreneurs ที่เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ด้วยสัดส่วนถึง 97.5% คิดเป็นจำนวนผู้ประกอบการที่อยู่ในส่วนนี้ถึงกว่า 3.17 ล้านราย

“ภาครัฐจำเป็นต้องพัฒนากลไกเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในรายย่อยและรายเล็กกว่า 3.17 ล้านราย ที่มักมีข้อจำกัดในการเข้าถึงระบบธนาคาร ​มากกว่าเรียกร้องให้ผู้ประกอบการปรับตัวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาโซลูชั่นหรือเครื่องมือเพื่อเพิ่มช่องทางใหม่ๆ ในการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีดอกเบี้ยต้ำและไม่ผูกติดอยู่กับระบบธนาคารที่มีความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ เพราะปัจจุบันรายย่อยและรายเล็กสามารถเข้าถึงได้เพียง Nano และ Pico Finance ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ประมาณ 30% ต่อปี ขณะที่กลุ่มซอฟต์โลนดอกเบี้ยต่ำ 3-4% จะมีเพียงธุรกิจที่มีระบบบัญชี หรือข้อมูลทางการเงินตามเกณฑ์ที่สถาบันการเงินกำหนด ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการอยู่รอดของผู้ประกอบการ เพื่อไม่ให้ประเทศต้องติดหล่มทางเศรษฐกิจและไม่สามารถขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” ​ดร.ณพพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ควรมีแนวทางเพื่อช่วยเหลือด้านการเงินและต้นทุนต่ำ ที่สามารถให้ความช่วยเหลือส่งไปถึงกลุ่มผู้ประกอบรายย่อยซึ่งเป็นเส้นเลือดสำคัญในเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างแท้จริง อาทิ กองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Micro & Small Entrepreneurs) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3-4% ต่อปี เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัว และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันต่อไป นอกเหนือจากนี้ การยกระดับทักษะและนวัตกรรมทาง Digital, AI and Green Transformation เพื่อให้เกิดความพร้อม ในการเชื่อมโยงตลาดใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงตลาด Online ตลอดจนการสร้าง One Stop Service และ Ecosystem ครบวงจร พร้อมผลักดันการปรับปรุงกฎระเบียบ ที่เอื้อกับผู้ประกอบการ MSME ให้เติบโตอย่างมั่นคงและแข่งขัน ได้ในระยะยาว ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ

​’เร่งปรับตัวรับมือวิกฤตโลกรวน’ ​โจทย์ใหญ่ของประเทศ  

คุณธรรมศักดิ์ กล่าเพิ่มเติมอีกว่า ​​หนึ่งในโจทย์เร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องรีบเดินหน้าขับเคลื่อนอย่างจริงจังคือ  การเตรียมความพร้อม ในการรับมือวิกฤตโลกรวน (Climate Adaptation) เนื่องจาก​ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และความผันผวนของทรัพยากร กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และความมั่นคงของประเทศ ดังนั้น การเร่งเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็น โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้มาใช้ ยกระดับความสามารถในการปรับตัว ลดความเสี่ยง และสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบ​

“เอสซีจีพร้อมเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อผลักดันข้อเสนอจาก ESG Symposium 2025 ไปสู่การปฏิบัติจริง ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการลงทุนพัฒนาผ่านโครงการนำร่อง PPP สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลง ที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต” คุณธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย