DialogueTop Stories

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สรุป 9 เทรนด์อาหารโลกจากงาน ‘ANUGA 2025 เยอรมนี’

เทรนด์ที่เกิดขึ้นใน Anuga 2025 ถือเป็น 'สัญญาณสำคัญ' ที่ผู้ผลิตอาหารไทยควรจับตา เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างโอกาสให้ธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการขยายตลาดส่งออกหรือต้องการทำตลาดในระดับโลก

สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมนี) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ สรุป 9 เทรนด์อาหารโลกจากงาน ‘ANUGA 2025 เยอรมนี’ สะท้อนเทรนด์สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารที่มาแรงตลอดปี 2025

ทั้งนี้ ​ Anuga 2025 เป็นงาน​แสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นในเดือน​ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี  ​มีจำนวน​ผู้เข้าร่วมงานกว่า 8,000 รายจาก 110 ประเทศ พื้นที่​แสดงสินค้ากว่า 3 ​แสนตารางเมตร รองรับผู้เข้าชมงาน​กว่า 145,000 คนจากทั่วโลก โดย DITP นำผู้ประกอบการไทยร่วมแสดงสินค้าด้วย 114 ราย

Anuga ในฐานะผู้นำตลาดการค้าระหว่างประเทศและตลาดอาหารและเครื่องดื่มระดับโลกร่วมกับ Innova Market Insights ผู้นำด้านการวิจัยตลาดอาหารและเครื่องดื่ม ร่วมนำเสนอเทรนด์สำคัญของอุตสาหกรรมอาหารสำหรับปี 2025 ที่เกิดขึ้นใน Anuga 2025 ซึ่งถือเป็น ‘สัญญาณสำคัญ‘ ที่ผู้ผลิตอาหารไทยควรจับตา ประกอบด้วยเทรนด์ต่อไปนี้

1. อาหารเฉพาะบุคคล : ตอบโจทย์ผู้บริโภคแต่ละคน

ความต้องการอาหารเฉพาะบุคคลกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก ‘Personalised Food’ หมายถึงอาหารและเครื่องดื่มที่ออกแบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและความต้องการของแต่ละบุคคล ทั้งในด้านโภชนาการ ฟังก์ชันการทำงาน และการควบคุมน้ำหนัก โดยเฉพาะผู้บริโภคในกลุ่ม Millennials / Gen Z

รายงาน Innova Trends Survey 2025 พบว่า ผู้บริโภคกว่า 60% ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และมากกว่าครึ่งหนึ่งวางแผนการบริโภคอาหารเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง และผู้บริโภคมากกว่า 1 ใน 3 เลือกบริโภคอาหารเสริมและเครื่องดื่มที่มีสารอาหารเฉพาะเพื่อบำรุงสุขภาพ โดยตลาดอาหารควบคุมน้ำหนักเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% (ระหว่างปี 2022–2024) นำโดยสหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหราชอาณาจักร ขณะที่เยอรมนีเป็นประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงสุดในยุโรป

2. ความยั่งยืน : ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมขับเคลื่อนตลาด

ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วฟาวา (Fava Beans) ซึ่งมีการเติบโตของตลาดเฉลี่ย 11% ต่อปี (2022–2024) เยอรมนี สหราชอาณาจักร และฟินแลนด์เป็นผู้นำตลาด ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์มีอัตราเติบโตสูงถึง 108%

ในเวลาเดียวกัน ความต้องการวัตถุดิบทดแทนสำหรับพืชที่อ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศ เช่น โกโก้ กาแฟ และน้ำส้ม ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน บริษัทต่างๆ จึงหันมาใช้วัตถุดิบใหม่ที่ยั่งยืนกว่า เช่น คาโรบ (Carob) แทนโกโก้, กาแฟลูปิน (Lupin Coffee) แทนกาแฟทั่วไป และ น้ำผลไม้หมักแทนน้ำส้ม เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กว่าครึ่งของผู้บริโภคทั่วโลกระบุว่าจะหลีกเลี่ยงหรือเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์ หากรู้ว่าไม่ได้มีการผลิตอย่างยั่งยืน

3. โปรตีนทางเลือก : กระแส Flexitarian มาแรง

หนึ่งเทรนด์ใน Anuga 2025 คือการเติบโตของผลิตภัณฑ์จากพืชที่ไม่ใช่แค่ทดแทนเนื้อสัตว์แต่เป็น ‘โลกอาหารใหม่’ อาทิ ชีสแคมแอมเบิร์ตจากเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (fermented cashew camembert) หรือเนื้อปลาทูน่าทดแทนจากพืช เป็นต้น

ความนิยมในโปรตีนทางเลือกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ระหว่างปี 2020–2024 โปรตีนจากพืชเพิ่มขึ้น 5% ขณะที่โปรตีนเพาะเลี้ยง (Cultivated) และโปรตีนจากจุลินทรีย์ (Microbial) เพิ่มขึ้นถึง 15% ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่เติบโตสูงสุดคือ อาหารทดแทนเนื้อสัตว์ (43%), อาหารพร้อมรับประทาน (13%) และ ของหวาน/ไอศกรีม (11%)

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริโภคทั่วโลกราว 40% สนใจทดลองบริโภคเนื้อสัตว์ไฮบริด ที่ผสานโปรตีนจากเนื้อสัตว์และโปรตีนทางเลือกเข้าด้วยกัน ตามข้อมูลของ Innova ยังพบว่านอกจากการมุ่ง​พัฒนารสชาติและเนื้อสัมผัสให้ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์จากสัตว์แล้ว บริษัทต่างๆ ยังให้ความสำคัญกับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย

4. อาหารเพื่อความสะดวกและของทานเล่น : อร่อยได้โดยไม่ต้องยอมเสียสุขภาพ

กระแส Snackification หรือการบริโภคของทานเล่นยังคงเป็นเมกะเทรนด์ทั่วโลก ราวครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคทานของว่างอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง ผู้ผลิตจึงเน้นพัฒนาขนาดบรรจุที่เล็กลงและรสชาติใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งความอร่อยและความสะดวก

5. แบรนด์ร้านค้า (Private Label) : กำลังเติบโตทั่วโลก

สินค้าแบรนด์ร้านค้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ ปี 2023 มีผู้บริโภคเกือบหนึ่งในสามเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ร้านค้าบ่อยขึ้น โดยยุโรปครองสัดส่วนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สูงสุดถึง 62% ตามด้วยอเมริกาเหนือและเอเชีย กลุ่มสินค้าที่โดดเด่น ได้แก่ เบเกอรี (13%), เนื้อสัตว์ ปลา และไข่ (12%), และ อาหารพร้อมรับประทาน (12%)

6. สินค้าอาหารเกรดพรีเมียม : คุณภาพ ยั่งยืน และพิเศษเฉพาะตัว

ผู้บริโภคยุคใหม่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงพรีเมียม แต่ยังต้องมีจริยธรรมและดีต่อสุขภาพ สินค้าพรีเมียมที่เติบโตโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่มร้อน (11%), ซอสและเครื่องเทศ (10%), และของว่าง (9%)

7. สุขภาพลำไส้ Gut & Digestive Health: สุขภาพเริ่มต้นจากภายใน

กว่า 50% ของผู้บริโภคให้ความสนใจอาหารและเครื่องดื่มที่มีไฟเบอร์สูง โดยตลาดอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี (2022–2024) กลุ่มสินค้าที่โดดเด่น ได้แก่ อาหารเสริม (47%) และ อาหารสำหรับเด็กเล็ก (26%) ซึ่งได้รับความนิยมสูงในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และจีน

8. ตลาดฮาลาล: เติบโตทั่วโลกพร้อมนวัตกรรม

ตลาดอาหารฮาลาลทั่วโลกเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่ม เบเกอรี (15%), ซอสและเครื่องเทศ (13%), และ ของว่าง (11%)

9. Clean Label : ความโปร่งใสคือปัจจัยการตัดสินใจ

ผู้บริโภคหันมามองหาอาหารที่ไม่มีสารปรุงแต่งสังเคราะห์มากขึ้น โดยกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วน Clean Label สูง อาทิ ซอสและเครื่องเทศ (13%), เบเกอรี (10%), และ ของว่าง (9%) เป็นต้น

จากเทรนด์ที่เกิดขึ้น  สคต.​ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ยังชี้โอกาสให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะการต่อยอดวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น สมุนไพร เห็ด และถั่วไทย ให้เป็นอาหารฟังก์ชันหรือผลิตภัณฑ์พืชทางเลือก รวมถึงการใช้แนวคิด Clean Label และความยั่งยืนในการสร้างมูลค่าเพิ่ม

นอกจากนี้ ตลาดยุโรปยังนิยมอาหารเอเชียที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เช่น อาหารไทยแบบแช่แข็งคุณภาพสูง หรือซอสเครื่องปรุงที่ผลิตจากพืช ซึ่งสามารถตอบโจทย์ทั้งความอร่อยและสุขภาพได้พร้อมกัน ที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ ผู้ซื้อและผู้ค้าปลีกยุโรปเริ่มคัดเลือกผู้ผลิตที่มีการผลิตอย่างยั่งยืนและตรวจสอบห่วงโซ่การผลิตตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป ผู้ผลิตไทยควรเตรียมตัวด้านการผลิตให้ยั่งยืนและตรวจสอบที่มาของวัตถุดิบทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม