ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ยังต้องเผชิญความท้าทายหลายปัจจัย ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์โลกจากสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต้องจับตาถึงสงครามการค้าที่จะสะเทือนไปทั่วโลก
ขณะที่สถานการณ์ในประเทศ ก็ต้องเผชิญกับกำลังซื้อที่ยังคงซบเซา พร้อมหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในช่วงซัพพลายล้นตลาด เช่น บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี ที่ซัพพลายสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับดีมานด์ที่ลดลง ส่วนตลาดอาคารสำนักงานมีการแข่งขันสูงจากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต รวมถึงคลังสินค้าให้เช่าที่เริ่มมีสัญญาณซัพพลายทะลัก หลังผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้เพิ่มขึ้น
คุณธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT กล่าวว่า ท่ามกลางความผันผวนในไทยและต่างประเทศ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยวางแผนอย่างระมัดระวังเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคง โดยในปีงบการเงิน 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ย. 2568) ตั้งเป้ารายได้ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 11 % เมื่อเทียบกับปีงบการเงินที่ผ่านมา ซึ่งทำรายได้ 14,566 ล้านบาท
“ช่วงไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2568 (ต.ค. – ธ.ค.2567) เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ทำรายได้ 3,268 ล้านบาท จากการขายอสังหาริมทรัพย์กว่า 2 พันล้านบาท จากค่าเช่าและบริการ 796 ล้านบาท และรายได้อื่น 469 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอ 329 ล้านบาท โดยในปีนี้เน้นการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความระมัดระวังจากปัจจัยลบรอบด้าน พร้อมความแม่นยำในการตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า และการโฟกัสกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ผ่านกลยุทธ์ ‘กอด – Secure Core, Embrace Future’ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เน้นรักษาฐานลูกค้าเดิมให้แน่น พร้อมเดินหน้าหาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพิ่มเติม จากจุดแข็งที่มีอยู่ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ”
สำหรับแนวทางตามกลุยุทธ์ ‘กอด – Secure Core, Embrace Future’ มีรูปแบบดำเนินงานผ่าน 3 มิติ ต่อไปนี้
1. Flexible – ปรับตัวให้ยืดหยุ่นตามดีมานด์ของตลาด
เน้นขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยืดหยุ่น จากจุดแข็งในฐานะแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม เพื่อสร้างรายได้ทั้งจากการขายและค่าเช่า เพื่อสร้างกระแสรายได้ต่อเนื่อง รวมทั้งปรับรูปแบบสินค้าและบริการให้ยืดหยุ่น ตามความต้องการของลูกค้า เช่น ระยะเวลาการทำสัญญาเช่าที่เลือกได้ การพัฒนาพื้นที่แบบมัลติฟังก์ชันที่สามารถเปลี่ยนได้ตามลักษณะการใช้งาน เป็นต้น
2. Feeling – สร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับ
ส่งมอบความประทับใจให้กับลูกค้าผ่านการรังสรรค์บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีในทุกพื้นที่การให้บริการ พร้อมด้วยการให้บริการหลังการขายอย่างจริงใจและเอาใจใส่ ผ่านการออกแบบการดูแลที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการมัดใจและรักษาลูกค้าให้อยู่กับบริษัทในระยะยาว
3. Focus – มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการที่เชี่ยวชาญ ใช้ Data-driven insights วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและความต้องการลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เพื่อนำไปสู่การสร้างโซลูชันใหม่ ที่สามารถเสริมมูลค่าให้สินค้าและบริการ และตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ กลยุทธ์ ‘กอด – Secure Core, Embrace Future’ ได้นำมาปรับใช้เพื่อสร้างการเติบโตให้แตละกลุ่มธุรกิจของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ดังนี้
– อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พลิกโฉมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้า ทั้งดีไซน์และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เสริมด้วยบริการหลังการขายสุดแกร่งที่ดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกทั้งก่อนและหลังเข้าอยู่
โดยมีแผนเปิด 6 โครงการใหม่ในกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา และขอนแก่น รวมมูลค่า 9,803 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับลักชัวรีและระดับบน 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The Grand, Grandio และแบรนด์ใหม่ Gramour พร้อมด้วยทาวน์โฮมพรีเมียม 1 โครงการในแบรนด์ใหม่ Goldina และคอนโดมิเนียมแบรนด์ KLOS อีก 1 โครงการ ขณะเดียวกัน เดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วยการจัดโรดโชว์ที่ประเทศจีน เจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อโครงการคอนโดมิเนียม
– อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ของตลาดโรงงาน–คลังสินค้าให้เช่าด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการ 3.66 ล้าน ตร.ม. ทั้งในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ตั้งเป้าขยายพื้นที่เพิ่มอีก 150,000 ตร.ม. และสร้างอัตราการเช่ารวมของพอร์ตโฟลิโอสูงกว่า 88% เดินหน้าพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมทั้งแบบสำเร็จรูป (Ready-Built) แบบสร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) ที่บริษัทเป็นเจ้าแรกของตลาดในการพัฒนาสินค้ารูปแบบนี้ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สามารถปิดดีลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งได้เข้าร่วมพัฒนาโครงการ Industrial Township พื้นที่ 4,600 ไร่ บริเวณ ถ.บางนา -ตราด กม.32 ซึ่งพร้อมเปิดตัวโครงการในเดือนก.พ. 2568
– อสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ยกระดับการให้บริการและคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม ผสมผสานการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับผู้เช่า ซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัทที่ทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างเหนียวแน่น
สำหรับแผนการเติบโต เน้นดึงดูดลูกค้าต่างชาติกลุ่มใหม่ๆ ที่เข้ามาลงทุนในไทยจากการย้ายและขยายฐานการผลิต โดยในส่วนพื้นที่รีเทลจะเพิ่มเติมร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น ผนวกการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างสีสันตลาดและเพิ่มยอดทราฟฟิก โดยมองว่าปีนี้จะสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมได้สูงกว่า 90%
นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำ AI (Artificial Intelligence) และ Data Analytics เข้ามาใช้ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของธุรกิจ ทั้งการออกแบบและสร้างสรรค์โครงการ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการที่สร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า รวมถึงส่วนของออฟฟิศด้านการจัดการบัญชีและการเงิน เป็นต้น ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในกระบวนการต่างๆ รวมทั้งยังมีโครงการ Everyday AI ที่ส่งเสริมการเรียนรู้การใช้ AI ให้กับพนักงาน เพื่อนำไปปรับใช้กับการทำงานให้มีศักยภาพมากขึ้น เป็นการสร้างรากฐานองค์กรให้ก้าวสู่อนาคตได้อย่างแข็งแกร่งในยุคที่การแข่งขันสูงและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ด้วยกลยุทธ์และแผนงานที่ถูกวางไว้อย่างเข้มแข็งและรอบคอบ เชื่อมั่นว่าจะผลักดันธุรกิจให้เติบโตมั่นคงท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเดินหน้าตามแผนการขับเคลื่อนเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยสู่ Real Estate as a Service Brand ที่สามารถส่งมอบความต้องการให้แก่ลูกค้าได้มากกว่าแค่พื้นที่หรือ Space แต่ยังสร้างความแตกต่างด้วยการต่อยอดนวัตกรรมการบริการ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ควบคู่กับความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) ตามแนวทาง SBTi ซึ่ง อันสอดคล้องกับเจตนารมณ์ขององค์กรในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)” คุณธนพล กล่าวทิ้งท้าย