Trifacta หรือ 3 คุณค่า ที่กำหนดความสุขของคนรุ่นใหม่ ประกอบด้วย รายได้ ความหมายของงาน และความเป็นอยู่ที่ดี โดยเฉพาะเรื่องเงิน ที่เชื่อมโยงกับระดับความสุขสูงสุดในทุกภูมิภาคทั่วโลก ตามมาด้วย ความเป็นอยู่ที่ดี และความหมายในการทำงาน
โดยคนไทยกังวลกับการเงินในระยะสั้นมากกว่าระยะยาว ขณะที่ค่าครองชีพยังคงเป็นความกังวลเรื้อรังของคนรุ่นใหม่
ด้านการใช้ Generative AI (GenAI) มีการใช้ GenAI ในการทำงานอย่างแพร่หลาย โดยมองว่าช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เพิ่มเวลาให้สามารถจัดสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว และช่วยให้การทำงานดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่า Gen Z และ Gen Y ของไทย ให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในอัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก แต่ก็สะท้อนความกังวลต่อระบบการศึกษาในหลายด้าน เช่น คุณภาพการเรียนรู้ ค่าใช้จ่ายที่สูง และโอกาสในการได้รับประสบการณ์จริงมีจำกัด
อ้างอิงข้อมูลจาก ผลสำรวจ Deloitte Global 2025 Gen Z and Millennial Survey โดย ดีลอยท์ ประเทศไทย พบอินไซต์คนรุ่นใหม่ชาวไทย ทั้ง Gen Z และ Gen Y ให้ความสำคัญสูงสุดกับ 3 คุณค่าหลัก ได้แก่ รายได้ ความหมายของงาน และความเป็นอยู่ที่ดี
Trifacta : 3 คุณค่าที่เชื่อมโยงกับความสุขของคนรุ่นใหม่
Trifacta คือ 3 คุณค่าหลัก ที่ส่งผลต่อความสุขของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ได้แก่ รายได้ ความหมายของงาน และความเป็นอยู่ที่ดี ผลสำรวจพบว่า รายได้มีความเชื่อมโยงกับระดับความสุขมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 64% ขณะที่ความเป็นอยู่ที่ดีและความหมายของงาน มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกันที่ประมาณ 56%
ทั้งนี้ คนในกลุ่ม Gen Y ให้ความสำคัญกับคุณค่าทั้ง 3 ด้านของ Trifacta มากกว่า Gen Z อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจสะท้อนถึงประสบการณ์ชีวิตและการทำงานที่มากกว่า
เมื่อพิจารณาลงลึกด้านการเงิน พบว่า ค่าครองชีพ ยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้คนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยความกังวล 3 อันดับแรกของทั้ง Gen Z และ Gen Y ในประเทศไทยที่ตรงกัน ได้แก่ ค่าครองชีพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความปลอดภัยทางไซเบอร์
ตามด้วย 2 อันดับถัดมา ได้แก่ 1) สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และ 2) การดูแลสุขภาพ
ด้านมุมมองเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงิน ประมาณ 63% ของคนไทยระบุว่า ตนเองใช้ชีวิตแบบ เดือนชนเดือน (ไม่เหลือให้ออม) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 52% ขณะเดียวกันประมาณ 25% ระบุว่าตนเองยังต้องดิ้นรนในการจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน ซึ่งแม้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 36% แต่กลับสะท้อนถึงแรงกดดันทางการเงินที่ยังมีอยู่
นอกจากนี้ ประมาณ 27% ของคนไทยเห็นว่า อาจไม่สามารถเกษียณได้อย่างมั่นคงทางการเงิน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 42% โดยข้อมูลทั้งหมดนี้สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่ไทยยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นทางการเงินในระยะสั้น มากกว่าการวางแผนระยะยาวเพื่ออนาคต เช่น การออมเพื่อเกษียณอายุ
ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้สึกถึงเอกลักษณ์ของตนเองในหมู่คนรุ่นใหม่ (Gen Z และ Gen Y) ของไทย พบว่าประมาณ 54% ให้ความสำคัญกับเพื่อนและครอบครัว ตามด้วยงานหลัก (46%) และกิจกรรมทางวัฒนธรรม (32%) โดยทั้ง 3 ปัจจัยนี้ มีสัดส่วนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก
ขณะที่ 29% เห็นด้วยกับอาชีพเสริม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 14% และประมาณ 30% เห็นด้วยกับการออกกำลังกาย ซึ่งก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเล็กน้อยที่ 25%
62% ของ Gen Z และ 56% ของ Gen Y ระบุว่า พวกเขาปฏิเสธที่จะทำงานกับนายจ้างที่ดำเนินธุรกิจไม่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 40% อย่างชัดเจน
ขณะที่ 37% ของ Gen Z และ 45% ของ Gen Y ยินดีที่จะลาออกจากงาน หากงานนั้นไม่สอดคล้องกับความเชื่อ หรือหลักที่ยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต โดยตัวเลขนี้อยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 45%
ประเด็นนี้สะท้อนถึง คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นกับ ‘คุณค่าร่วม’ และภาพลักษณ์ขององค์กร องค์กรต่าง ๆ จึงควรตระหนักว่า ปัจจัยด้านค่านิยมและความเชื่อมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่ของการเลือกงานและการอยู่กับองค์กรในระยะยาว
ทั้งนี้ คนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมดเห็นว่า Sense of Purpose (ความรู้สึกว่าการทำงานของตนเองมีคุณค่าและเป้าหมายที่ชัดเจน) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงานและคุณภาพชีวิตโดยรวม
คนไทยรุ่นใหม่กว่า 1 ใน 3 ระบุว่า ตนเองรู้สึกเครียดหรือกังวลเกือบหรือแทบตลอดเวลา โดยพบว่า Gen Z มีความเครียดจากแทบทุกปัจจัยสูงกว่า Gen Y ไม่ว่าจะเป็น เรื่องอนาคตทางการเงินในระยะยาว สุขภาพส่วนตัว ภาระในบ้านหรือการดูแลครอบครัว หรือปัญหาการเงินในชีวิตประจำวัน ยกเว้นเพียงเรื่องสุขภาพหรือความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัว ที่ Gen Y มีระดับความกังวลสูงกว่าเล็กน้อย
นอกจากนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของคนไทยรุ่นใหม่ยังระบุว่า งานเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สร้างความเครียด โดยสาเหตุหลักมาจาก ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน การไม่มีเวลาเพียงพอในการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ และการไม่รู้สึกถึงความหมายหรือเป้าหมายในสิ่งที่ทำ
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า Gen Z มีระดับความเครียดในทุกมิติเหนือกว่า Gen Y อย่างชัดเจน โดยอาจกล่าวได้ว่า Gen Y สามารถรับมือกับแรงกดดันในที่ทำงานได้มากกว่า ขณะเดียวกัน ยังพบว่า หลายองค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านประสิทธิภาพการบริหารจัดการ แม้พนักงานจะทำงานเป็นเวลานาน แต่กลับไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่หลายองค์กรต้องเร่งออกแบบแนวทางรับมืออย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม คนไทยรุ่นใหม่ประมาณ 80% เชื่อว่านายจ้างให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานอย่างจริงจัง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ (61%) สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยมีการปรับตัว ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตมากขึ้น และที่สำคัญ คือ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจดังกล่าว
คนไทยรุ่นใหม่ใช้ Gen AI อย่างแพร่หลาย เพื่อลดภาระงานและเพิ่มคุณภาพชีวิต
ประมาณ 85% ของทั้ง Gen Z และ Gen Y ในประเทศไทย ระบุว่าเคยใช้ GenAI ช่วยในการทำงาน แม้ว่า Gen Z จะใช้ในกิจกรรมประจำวันมากกว่า แต่ Gen Y มีแนวโน้มในการใช้งานที่หลากหลายกว่า
ซึ่ง 3 อันดับแรกที่ทั้ง 2 เจนเนอเรชั่นนิยมใช้งานมากที่สุด ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบเชิงสร้างสรรค์ และการสร้างเนื้อหา ทั้งนี้ Gen Y ยังมีการใช้งานบางด้านที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการสร้างเนื้อหา จากข้อมูลข้างต้นนี้ สะท้อนถึงรูปแบบการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวที่กำลังกลายเป็นเรื่องปกติในที่ทำงาน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ยังมีคำถามสำคัญว่า องค์กรและบุคลากรมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงนี้มากน้อยเพียงใด
1 ใน 4 ของคนทั้ง 2 เจนเนอเรชั่น ได้รับการฝึกอบรมการใช้ GenAI แล้ว ขณะที่อีกราวครึ่งหนึ่งหรือมากกว่า วางแผนจะเข้ารับการอบรมภายใน 12 เดือนข้างหน้า
มุมมองของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อเทคโนโลยีนี้ มีทั้งแง่บวกและลบ โดยประมาณ 90% เชื่อว่าจะช่วยลดเวลาในการทำงาน ทำให้เกิดสมดุลชีวิตที่ดีขึ้น
ขณะที่มุมมองด้านลบมีอยู่เช่นกัน โดยประมาณ 3 ใน 4 กังวลว่าอาจทำให้งานน้อยลง และ 85% เห็นว่าต้องเลือกงานที่มีความเสี่ยงน้อยจากระบบอัตโนมัติ เป็นการสะท้อนว่า GenAI กำลังเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ แต่ขณะเดียวกัน ยังเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนา Soft Skills ที่เทคโนโลยีไม่อาจทดแทนได้ เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร และการตัดสินใจ
โดยในภาพรวมนั้น องค์กรต่าง ๆ ยังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการการใช้งานเทคโนโลยีใหม่นี้ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่รู้สึกว่างานของตนถูกลดทอนคุณค่า
ประมาณ 10% ของ Gen Z และ 20% ของ Gen Y ในประเทศไทยไม่ได้ทำงานในสายอาชีพที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
โดยเหตุผลหลักของการเปลี่ยนสายอาชีพ คือ ต้องการรายได้ที่ดีกว่า ซึ่งพบในกลุ่ม Gen Y สูงถึง 60% เมื่อเทียบกับ Gen Z ที่ 30% ซึ่งให้ความสำคัญกับเหตุผลอื่นมากกว่าอย่างชัดเจน เช่น สถานการณ์ตลาดแรงงาน ภาระความรับผิดชอบต่อครอบครัว ความสนใจที่เปลี่ยนแปลง หรือโอกาสเริ่มต้นทำธุรกิจ ซึ่งสะท้อนว่า Gen Z ยังคงอยู่ในช่วงการสำรวจตัวเองและเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ ขณะที่ Gen Y เริ่มมุ่งเน้นความมั่นคงตามประสบการณ์ที่สั่งสมมา
เป้าหมายด้านอาชีพ 3 อันดับแรกที่คนไทยรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ได้แก่ การบรรลุอิสรภาพทางการเงิน การเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการรักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิต
อย่างไรก็ตาม การเติบโตเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตัวเอง ซึ่งปกติมักถูกมองว่าเป็นเป้าหมายสำคัญในโลกการทำงาน กลับได้รับความสนใจจากกลุ่มสำรวจคนไทยน้อยที่สุด
คนไทยรุ่นใหม่เกือบ 85% ระบุว่าตนเองมีการพัฒนาทักษะเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยทั้ง 2 เจเนอเรชั่นมีแนวทางการเรียนรู้ความใกล้เคียงกัน โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในงาน เป็นวิธีเดียวที่ Gen Y ให้ความสำคัญมากกว่า Gen Z เล็กน้อย
ขณะที่แนวทางอื่น เช่น การเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนร่วมงาน คำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์ เวิร์คช็อปหรือการสัมนาในอุตสาหกรรม และโปรแกรมฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ ล้วนเป็นแนวทางที่ Gen Z ให้ความสำคัญมากกว่า Gen Y โดยทักษะที่คนรุ่น Gen Z ในประเทศไทยให้ความสำคัญมากกว่า Gen Y อย่างชัดเจน ได้แก่ ทักษะด้านดิจิทัล เช่น การใช้โซเชียลมีเดียและการตลาดดิจิทัล ทักษะการจัดการเวลา และทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม
สำหรับมุมมองต่อทักษะที่ช่วยเพิ่มโอกาสในสายอาชีพนั้น Gen Z ในประเทศไทยให้ความสำคัญกับ 3 ทักษะหลัก ได้แก่ ทักษะด้านดิจิทัล (เช่น โซเชียลมีเดียและการตลาดดิจิทัล) ทักษะการจัดการเวลา และทักษะด้านการจัดการความยั่งยืน
ขณะที่คน Gen Y ในไทยให้ความสำคัญกับความรู้เฉพาะทางมากกว่า และเมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจระดับโลก พบว่า ทั้ง Gen Z และ Gen Y ต่างเห็นตรงกันว่า ทักษะการจัดการเวลาและความรู้เฉพาะทางตามอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตในสายอาชีพ สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของแรงงานไทย ที่ยังให้ความสำคัญกับทักษะดิจิทัลในภาพรวม มากกว่าการลงลึกในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง
อยากเรียนต่อ แต่กังวลเรื่องคุณภาพและค่าใช้จ่าย
คนรุ่นใหม่ในประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกซึ่งอยู่ที่ 31% โดยมีเพียง 16% เท่านั้นที่ระบุว่าไม่ได้วางแผนศึกษาต่อ โดยเหตุผลหลัก 3 ข้อแรกของผู้ที่ไม่ศึกษาต่อ ได้แก่ 1) สถานการณ์ครอบครัวหรือส่วนตัว 2) ข้อจำกัดด้านการเงิน และ 3) ความต้องการเรียนรู้ในรูปแบบที่ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับเงื่อนไขของตนเอง
ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเรื่องความกังวลของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยที่มีต่อระบบการศึกษานั้น มุ่งไปที่ประเด็นคุณภาพการศึกษาและค่าใช้จ่ายในการเรียนสูง ซึ่งเป็นความกังวลที่นำหน้าความกังวลด้านอื่น ๆ อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น โอกาสในการได้รับประสบการณ์จริงที่จำกัด ความสอดคล้องของหลักสูตรกับความต้องการของตลาดแรงงาน และทางเลือกการเรียนรู้ที่ยังขาดความยืดหยุ่น
แนวทางที่นายจ้างสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ได้ มี 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ภายในองค์กรโดยเฉพาะ พร้อมจัดสรรเวลาให้พนักงานเรียนรู้ได้โดยไม่กระทบกับภาระงาน ซึ่งแนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนจากคน Gen Z จำนวน 34% เทียบกับ Gen Y ที่ 25% โดยแสดงถึงความคาดหวังที่แตกต่างกันในกลุ่มคนรุ่นใหม่
ขณะที่อีก 2 แนวทาง ได้แก่ 2) การอำนวยความสะดวกในการแบ่งปันความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมงาน และ 3) การเปิดโอกาสให้หมุนเวียนงานหรือเข้าร่วมฝึกงาน พบว่าได้รับการสนับสนุนในระดับใกล้เคียงกันจากทั้ง 2 เจเนอเรชั่น
กัญญ์ทิพา เครือแก้ว ณ ลำพูน ผู้จัดการอาวุโส แผนก Organization Transformation ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ทั้ง Gen Z และ Gen Y ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร องค์กรใดที่สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมและคุณค่าที่สอดคล้องกับคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า จะสามารถดึงดูดหรือส่งเสริมให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ GenAI กำลังเข้ามามีอิทธิพลกับวิธีการทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ”
ดร.โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการอาวุโส แผนก Growth ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “จากที่ได้มีโอกาสติดตามรายงานฉบับนี้มาติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จะเห็นว่าข้อมูลในแต่ละปีมีทิศทางที่ตอบคำถามด้วยตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนตัวแล้ว ต้องการเห็นการพูดคุยกันระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจที่จะนำไปสู่การลงทุนทางการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรที่ตอบโจทย์มากกว่านี้”