ประเทศจีน ในฐานะตลาดขนาดใหญ่ของโลก ด้วยมูลค่าเศรษฐกิจรวมเกือบ 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการนำเข้าต่อปีมากกว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน มูลค่ารวมเกือบ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกัน ยังถือว่าเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคหลากหลายและมีความเฉพาะตัว แต่ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมของจีน กำลังมุ่งสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเชิงอัจฉริยะ ซึ่งล้วนเป็นโอกาสของผู้ประกอบการจากทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยในการนำแนวคิด นโยบาย และวิธีการขับเคลื่อน รวมทั้งสร้างความร่วมมือเพื่อผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับจีน
มร.เจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘สู่อนาคตร่วมกันอย่างยั่งยืน : ความร่วมมือจีน-ไทยในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน’(Sustainable Shared Future : China & Thailand Driving a Sustainable Business) จากเวที TCP Sustainability Forum 2025 ปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด ‘Sustainable Growth: The Future of Growth’ (การเติบโตที่ยั่งยืน: สู่อนาคตใหม่ของการเติบโต) โดยกลุ่มธุรกิจ TCP
มร.เจียง เหว่ย กล่าวว่า ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จีนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการปรับโครงสร้างพลังงาน โดยสามารถขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจโตได้เฉลี่ยปีละ 6% ขณะที่มีการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 3% และมีการใช้พลังงานขับเคลื่อนการเติบโตของ GDP ลดลงกว่า 35% ขณะที่สัดส่วนโครงสร้างการใช้พลังงานสะอาดขั้นต้นเพื่อทดแทนพลังงานฟอสซิลก็เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จาก 9% เป็น 18%
ขณะเดียวกัน ยังผลักดันให้มีการขยายตัวของอุตสาหกรรมเกิดใหม่อย่างรวดเร็ว จนทำให้จีนกลายเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้านการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ต่อเนื่องกันหลายปี โดยมีกำลังการติดตั้งสะสมกว่า 1.08 พันล้านกิโลวัตต์ ซึ่งฐานพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ อยู่ในมณฑลซิงไห่ กานซู่ และพื้นที่อื่นๆ ซึ่งไม่เพียงช่วยขับเคลื่อนการปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของจีน แต่ยังเป็นต้นแบบความร่วมมือในระดับนานาชาติด้วย
“จีนยังเป็นอันดับหนึ่งของโลก ด้านการพัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ ทั้งการผลิตและยอดขายต่อเนื่องมาหลายปี จากแบรนด์ชั้นนำอย่าง BYD, SAIC และ Changan ที่ไม่เพียงได้รับความนิยมภายในประเทศ แต่ยังรุกเข้าสู่ตลาดต่างประเทศอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคมนาคมสีเขียวของโลก รวมไปถึงการเป็นต้นแบบด้านการพัฒนาเมืองสีเขียวและคาร์บอนต่ำและ ซึ่งปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ได้ปรับเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะสู่การใช้พลังงานใหม่อย่างสมบูรณ์ พร้อมนำร่อง ‘เมืองปลอดขยะ’ กว่า 100 แห่งและผลักดันการคัดแยกขยะให้ครอบคลุมทุกเมืองทั่วประเทศ ควบคู่กับการส่งเสริมฟื้นฟูชนบท และการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเกษตรกรรมเฉพาะทาง แนวคิดอาคารเขียว เมืองฟองน้ำ และการคมนาคมอัจฉริยะ ที่หยั่งรากลีกในสังคม และก่อเกิดเป็นประสบการณ์ที่สามารถถอดแบบและนำไปขยายผลได้อย่างกว้างขวาง”
นอกจากนี้ จีนยังสามารถขับเคลื่อนโครงการ ‘ภูเขาเขียว น้ำใส’ ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าได้มากกว่า 25% ส่งผลให้จีนเป็นประเทศหนึ่งที่สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้มากที่สุดในโลก รวมทั้งมาตรการห้ามจับปลาในแม่น้ำแยงซีเกียงเป็นเวลา 10 ปี เพื่ออนุรักษ์ระบบนิเวศ ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพสูงในแม่น้ำหวงเหอล้วนบรรลุความสำเร็จ ช่วยแก้ปัญหามลพิษและการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมที่เคยรุนแรงให้ได้รับการพลิกฟื้นอย่างเห็นได้ชัด
รวมทั้งการให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมในเชิงรุกด้านธรรมภิบาลโลก ด้วยการผลักดันความร่วมมือการพัฒนาสีเขียว ส่งเสริมการลงทุนสีเขียวและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีในระดับนานาชาติ ทั้งร่วมมือประเทศในทวีปแอฟริกา จัดทำโครงการต้นแบบเกษตรสีเขียว นำเทคโนโลยีชลประทานแบบประหยัดน้ำ และองค์ความรู้ด้านการจัดการเกษตรเชิงนิเวศเข้ามาประยุกต์ใช้ ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีสีเขียวและการพัฒนาที่ยั่งยืนของสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับความมั่นคงทางอาหารและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น รวมทั้งความสำเร็จของโมเดล ‘ชนบทอันงดงาม’ แห่งอันจี มณฑลเจ้อเจียง ที่ได้รับการเผยแพร่และส่งเสริมโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) อีกด้วย
How to ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ‘แนวทางแบบจีน’
ผลลัพธ์ที่จีนสร้างได้ สะท้อนความสำเร็จเส้นทางการพัฒนาที่ยั่งยืนตาม ‘แนวทางแบบจีน‘ เพื่อเป็น Best Practice ให้ประชาคมโลกนำไปศึกษาและประยุกต์ใช้ เพื่อขยายแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืนไปสู่วงกว้างมากขึ้น
ทั้งนี้ จีนมองการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นโจทย์ร่วมของมนุษยชาติ และเป็นเส้นทางสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ภายใต้บริบทการพัฒนาในยุคสมัยใหม่ที่บูรณาการเข้ากับสภาพความเป็นจริงของประเทศให้ครอบคลุม 5 ด้าน ได้แก่ นวัตกรรม การบูรณาการ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดกว้าง และการแบ่งปัน รวมทั้งสอดคล้องไปกับเป้าหมาย ‘การพัฒนาที่ยั่งยืน 2030’ ของสหประชาชาติ (UN SDG Goals) สะท้อนความรับผิดชอบและบทบาทของจีนในฐานะประเทศขนาดใหญ่
สำหรับ ‘การพัฒนาใหม่ของจีน’ มีลักษณะเด่น 3 ประการ คือ การบูรณาการ , การวางแผนเชิงระบบ และความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
– การบูรณาการ : บูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางสังคม และการสร้างอารธธรรมเชิงนิเวศ เพื่อบรรลุความก้าวหน้าของการผลิต ความมั่งคั่งของชีวิตและความสมดุลของระบบนิเวศ
– การวางแผนเชิงระบบ : บนพื้นฐานยุทธศาสตร์ระดับชาติ เดินหน้าบูรณาการ การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม การปฏิรูประบบพลังงาน และการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมครบถ้วนตลอดทั้งห่วงโซ่การพัฒนา
– ความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน : มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกลไกการจัดการสภาพภูมิอากาศโลก ผลักดันการสร้างประชาคมที่มือนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ แบ่งปันโอกาสในการพัฒนากับทุกประเทศ และร่วมกันรับผิดชอบต่อภารกิจของยุคสมัย
ขณะที่การวางยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนแผนให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริงนั้น จีนวางระบบการทำงานแบบ ‘สี่ประสาน’ ได้แก่ การออกแบบเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง, การกำหนดนโยบายชี้นำ, การขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาด และการมีส่วนร่วมของสังคม โดยวางแนวทางในการขับเคลื่อน 7 เป้าหมาย ต่อไปนี้
1) กำหนดเป้าหมาย ‘คาร์บอนสองประการ’ เพื่อบรรลุการปล่อยคาร์บอนระดับสูงสุดภายในปี 2030 พร้อมบรรลุการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2060
2) แนวทางการพัฒนาสีเขียว โดยยึดการปรับโครงสร้าง และยกระดับอุตสาหกรรมเป็นแกนหลัก มุ่งเม้นการพัฒนาการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมทั้งผลักดันอุตสาหกรรมเกิดใหม่อย่างเข้มแข็ง อาทิ ยานยนต์ พลังงานใหม่ และอาคารประหยัดพลังงาน
3) ปรับโครงสร้างด้านพลังงาน ลดสัดส่วนของอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง เร่งพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานใหม่เป็นหลัก ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และเพิ่มสัดส่วนพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล
4) ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน อาทิ การรีไซเคิลวัสดุที่ใช้แล้ว และการพัฒนาระบอุตสาหกรรมด้านทรัพยากรหมุนเวียน
5) การคุ้มครองด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ ปรับปรุงกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้รอบด้าน อาทิ กฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และกฎหมายพลังงานหมุนเวียน พร้อมบังคับใช้มาตรการสำคัญ เช่น ระบบอนุญาตการปลดปล่อยมลพิษ และระบบซื้อขายคาร์บอน เพื่อให้การปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาสีเขียวดำเนินไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
6) การอนุรักษ์ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการจัดการลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ ควบคู่กับการขับเคลื่อนยุทธการ ‘พิทักษ์ท้องฟ้าสีคราม น้ำใส และผืนดินสะอาด’ พร้อมริเริ่มโครงการสำคัญ อาทิ การอนุรักษ์ป่าธรรมชาติ และคืนพื้นที่เพาะปลูกสู่ป่าและทุ่งหญ้า และการจัดการแหล่งกำเนิดพายุทราย ในเขตปักกิ่ง-เทียนจิน เพื่อสร้างแนวป้องกันทางนิเวศ
7) ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นการบุกเบิกและพัฒนาในสาขาหลัก อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีสะอาด พร้อมทั้งสนับสนุนการบูรณาการความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาระหว่างภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย
”ปัจจุบันจีนสามารถบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวทางแบบจีน ผ่าน 7 เป้าหมายที่วางไว้ และสามารถแลกเปลี่ยนและร่วมมือแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกับประเทศไทย โดยเฉพาะในหมุดหมายสำคัญโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสันพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทย ที่ตลอดความสัมพันธ์ที่ผ่านมา ไทยและจีนมีความร่วมมือทั้งทางเศรษฐกิจและการค้า รวมทั้งการพัฒนามิตรภาพที่ดีระหว่างกันมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความร่วมมือในอนาคต ในมิติการพัฒนาที่ยั่งยืนจะกลายเป็นหมุดหมายสำคัญจากนี้ไปเช่นกัน”
แนะ 6 ความร่วมมือ ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างจีน-ไทย
แนวคิดการพัฒนาแนวใหม่ของจีนสอดคล้องอย่างยิ่งกับโมเดล BCG ของประเทศไทย (เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) ซึ่งเปิดโอกาสในการยกระดับและขยายความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาผ่าน 6 แนวทางในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ประกอบด้วย
1. การมีส่วนร่วมเชิงรุกและการแบ่งปันโอกาสจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน
ในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รวมทั้งอุตสาหกรรมของจีนที่กำลังมุ่งสู่ความเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมและการพัฒนาเชิงอัจฉริยะ ซึ่งล้วนเป็นโอกาสของผู้ประกอบการจากทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งการเข้าสู่ตลาดจีน จำเป็นต้องศึกษาอย่างรอบด้าน ทั้งศักยภาพการเติบโต แนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคในกลุ่มต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีนให้เติบโตได้มากขึ้น
2. เสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุตสาหกรรมพลังานใหม่
ประเทศไทยมีพื้นฐานและศักยภาพที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานยานยนต์ไฟฟ้า
ขณะที่จีน มีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและศักยภาพในอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์พลังงานใหม่ ดังนั้น ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศควรเร่งเสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ยานยนต์พลังงานใหม่ และการวิจัยพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ
3. ส่งเสริมความร่วมมือด้านเกษตรกรสีเขียว และการแปรรูปอาหาร
ผ่านการผสานศักยภาพด้านทรัพยากรเกษตรของไทยเข้ากับเทคโนโลยีการเพาะปลูกสีเขียวของจีน ผลักดันการประยุกต์ใช้เกษตรอัจฉริยะ เครื่องจักรกลการเกษตรสมัยใหม่ ระบบชลประทานแบบแม่นยำ และการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตร
ยกระดับมาตรฐานการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อาหารสีเขียวให้สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารสีเขียวและผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ของจีน ร่วมกันสร้างแบรนด์สินค้าเกษตรสีเขียวระดับสากลของจีน-ไทย โดยมีธุรกิจต้นแบบอย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ในการพัฒนาเกษตรในจีน ถือเป็นตัวอย่างที่ควรค่าแก่การศึกษาและนำมาปรับใช้
4. การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและสร้างแบรนด์จีน-ไทยอย่างแข็งขัน
การเข้าร่วมงานสำคัญ อาทิ งานมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติประเทศจีน (China International Import Export – ClIE), งานแสดงสินค้านำเข้า-ส่งออกจีน (Canton Fair), และงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (China-ASEAN Expo) ถือเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดจีน
5. อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ช่องทางสำคัญในการเข้าสู่ตลาดจีน
ปี 2024 ยอดค้าปลีกออนไลน์ของจีนเติบโตขึ้น 7.2% พร้อมทั้งครองตำแหน่งตลาดค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ดังนั้น การขยายตัวอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน จึงเป็นการเปิดช่องทางใหม่สำหรับส่งออกสินค้าของนานาประเทศเข้าสู่ตลาดจึน
6. เชื่อมโยงและความร่วมมือกับวิสาหกิจจีนในประเทศไทย
ปัจจุบันมีวิสาหกิจจีนที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเศรษฐกิจและการพาณิชย์ของสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย แล้วกว่า 1,000 แห่ง และมีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น ยานยนต์พลังงานใหม่ พลังงานแสงอาทิตย์ และการพัฒนาพลังงานสีเขียว
“ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า จีนและไทยมีทั้งศักยภาพและความพร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยกันในกระแสเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อร่วมแบ่งปันโอกาส และร่วมกันสร้างอนาคตร่วมกัน ด้วยความยึดมั่นในจิตวิญญาณแห่งการร่วมมืออย่างเปิดกว้าง ยืนหยัดบนหลักการแห่งความเชื่อมั่นและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างมั่นคงและยาวไกล ร่วมผลักดันความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย- จีน เพื่อก้าวสู่อนาคตที่เขียวสะอาดแลยั่งยืนร่วมกัน” มร.เจียง เหว่ย กล่าวทิ้งท้าย