Top StoriesTrending

เอปสัน ย้ำผู้นำตลาด B2B​ เปิดตัวซีรีส์ SureColor นวัตกรรมใหม่เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง เดินเกม ‘นวัตกรรม +ยั่งยืน’

เอปสัน ประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ 'SureColor' ที่มีจุดเด่น​ในการพิมพ์สีได้ขอบเขตที่กว้างและแม่นยำมากขึ้น เน้นกลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมป้ายและสิ่งทอ ตอกย้ำความแข็งแกร่งในตลาดเครื่องพิมพ์ B2B

เอปสัน ประเทศไทย เสิร์ฟนวัตกรรมใหม่  ​SureColor เจาะกลุ่มธุรกิจป้ายโฆษณาและสิ่งทอ ในรอบ 9 ปี รักษาแชมป์ผู้นำตลาด B2B หวังเพิ่มแชร์เครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์​แตะ 30% ภายในสิ้นปีนี้

คุณยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอปสันยกระดับเทคโนโลยีในกลุ่มเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ในรอบ 9 ปี ​พร้อมแนะนำเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมผู้ใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมป้ายและสิ่งทอครบทุกมิติ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านและปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ทำให้ทั้งลูกค้าและผู้ใช้งานต่างมองหาสินค้าที่มีคุณภาพและมาพร้อมความคุ้มค่า ​​รองรับงานพิมพ์ที่หลากหลายและมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเอปสันซีรีส์ SureColor สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างครอบคลุม

ทั้งนี้ ในกลุ่มเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา ได้เปิดตัว 3 รุ่น ได้แก่ ​SureColor SC-S9130, SC-S8130 และ SC-S7130 เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง 64 นิ้ว ระบบ Eco Solvent ที่พิมพ์ได้ทั้งงานภายในและนอกอาคาร มาพร้อมหัวพิมพ์ PrecisionCore Micro TFP รุ่นใหม่ ที่พิมพ์ได้เร็วขึ้น พร้อมมีระบบตรวจจับการอุดตันและปรับคุณภาพการพิมพ์ให้มีความคมชัดของตัวอักษรขนาดเล็กได้มากถึง 3 พอยต์ พร้อมหมึกที่ได้รับมาตรฐาน​ Greenguard Gold ที่เป็นมิตรทั้งต่อผู้ใช้งานและ​สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะรุ่นไฮไลท์อย่าง SC-S9130 ที่มีระบบหมึกถึง 11 สี ซึ่งมากที่สุดในตลาด และเพิ่มหมึกสีเขียว (Green) ช่วยให้พิมพ์ด้วยขอบเขตที่กว้างและเก็บรายละเอียดของสีได้มากและแม่นยำขึ้น รองรับงานระดับพรีเมียม เช่น โปสเตอร์สินค้าแบรนด์หรู สติกเกอร์แร็ปรถ ฉลากเครื่องสำอาง งานศิลปะ ไปจนถึงงานออกแบบที่มีสีสันสะดุดตา เป็นต้น

ส่วนกลุ่มสิ่งทอ ได้เพิ่ม 1 รุ่น คือ SureColor SC-G6030 เครื่องพิมพ์ระบบ DTFilm รุ่นแรกของบริษัท เข้ามาเติมในพอร์ตโฟลิโอ ทำให้​ปัจจุบัน​​เอปสันเป็นแบรนด์เดียวในตลาดที่มีเครื่องพิมพ์หน้ากว้างครอบคลุมทุกกลุ่มการใช้งานในอุตสาหกรรมสิ่งทอ​ ทั้งกลุ่ม Dye Sublimation สำหรับงานผ้าโพลีเอสเตอร์ เช่น เสื้อกีฬาและแฟชั่น กลุ่ม Direct-to-Garment (DTG) สำหรับพิมพ์ตรงลงบนผ้าฝ้าย และล่าสุดคือ Direct-to-Film (DTFilm) ที่มีความยิดหยุ่นสูงสามารถ​พิมพ์​ลงบนฟิล์ม​​ก่อนนำไปถ่ายโอนบนวัสดุได้หลากหลายชนิด เหมาะสำหรับสินค้ากลุ่มเสื้อยืด รองเท้า ถุงผ้า และของที่ระลึกต่างๆ เป็นต้น

“ความโดดเด่นของซีรีส์นี้อยู่ที่ขอบเขตความกว้างและแม่นยำในการให้สีของงานพิมพ์​ ​จึงตอบโจทย์กลุ่มผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี หรือภาคธุรกิจได้มากขึ้น ​เพราะปัจจุบัน ผู้ให้บริการงานพิมพ์ ผู้ผลิตป้ายโฆษณา รวมถึงนักออกแบบ ต่างมองหาโซลูชันมากกว่าแค่เครื่องพิมพ์ แต่ต้องการเครื่องมือช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต จึงเป็นเหตุผลในการพัฒนาเครื่องพิมพ์กลุ่ม SureColor เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ครอบคลุมทุกความต้อง​ลูกค้ายุคใหม่ ทั้งแอปพลิเคชันที่หลากหลาย รองรับงานออกแบบได้ไม่จำกัด ช่วยให้ลูกค้าผลิตงานตามออเดอร์ขนาดเล็กได้อย่างคุ้มค่า พร้อมการใช้งานที่ง่ายและการดูแลรักษาที่ไม่ยุ่งยาก ช่วยลดต้นทุนแรงงาน โดยไม่จำเป็นต้องใช้พนักงานที่มีทักษะสูงในการควบคุมเครื่อง ทั้งยังมีรอบการผลิตที่รวดเร็ว ตอบสนองตลาดได้ทันเวลา และที่สำคัญเครื่องพิมพ์ของเอปสันยังออกแบบมาโดยคำนึงถึงความยั่งยืนทั้งในแง่ของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสีย และเลือกใช้หมึกที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ลูกค้าก้าวข้ามขีดจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์ คว้าโอกาสใหม่ทางธุรกิจได้อย่างมั่นใจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม​” 

คุณยรรยง กล่าวต่อว่า การออกนวัตกรรมใหม่มาเสริมพอร์ตในกลุ่มเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์ในครั้งนี้ จะทำให้เอปสันสามารถรักษาความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมไว้ได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดได้มากขึ้นเป็น 30% จากปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่งในตลาด 28% โดยแบ่งเป็นรายผลิตภัณฑ์​​ดังนี้ กลุ่มเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา (Signage) มีส่วนแบ่งตลาดสูงเป็นอันดับหนึ่งที่ 30% ครอบคลุมเครื่องพิมพ์ในระบบหมึก Eco Solvent, Solvent และ Latex ส่วนเครื่องพิมพ์สิ่งทอ (Graphic Textile) เอปสันเป็นแบรนด์ที่มียอดขายมากที่สุด ครองส่วนแบ่ง 30% ของตลาด เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องพิมพ์ภาพถ่าย (Photographic) ที่ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 32%​

นอกจากนี้ คาดว่าภายใน 3 ปี จะสามารถผลักดันให้ยอดขาย​สินค้าในกลุ่มเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และธุรกิจ​เพิ่มขึ้นแตะ 20% ได้  จากปัจจุบันมีสัดส่วนราว 17-18% ขณะที่สัดส่วนยอดขายหลักของเอปสัน ประเทศไทย ยังอยู่ในกลุ่มเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก (รวมสแกนเนอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร) ด้วยสัดส่วนกว่า 60-65% ส่วนกลุ่มโปรเจ็กเตอร์​มียอดขายราว 15%

“โอกาสขับเคลื่อนการเติบโตในประเทศไทย ยังมาจากการผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ธุริกจดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มสิ่งทอ ที่ธุรกิจรายใหญ่ส่วนใหญ่ยังใช้ระบบการทำงานแบบอะนาล็อก ซึ่งเอปสันจะเร่งขับเคลื่อนให้เกิด​การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในอุตสาหกรรมการพิมพ์ ทั้งการชูนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพ ประสิทธิภาพในการผลิต ความสะดวกในการใช้งาน รวมทั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่นการให้บริการที่ครบทั้งเรื่องของคุณภาพ และความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เชื่อว่าจะสามารถเข้ามาเจาะตลาดได้ทั้งกลุ่มเครื่องใหม่ และเครื่องทดแทนได้”​

ปัจจุบัน เอปสันมีฐานลูกค้าครอบคลุมตั้งแต่โรงงานสิ่งทอ ผู้ให้บริการด้านการพิมพ์ นักออกแบบ แบรนด์สินค้า ไปจนถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นธุรกิจการพิมพ์แบบออนดีมานด์ และเชื่อว่าจะสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากความโดดเด่นด้าน​การผสานเทคโนโลยีการพิมพ์ ซอฟต์แวร์ การบริการ และโมเดลธุรกิจเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร รวมทั้งการตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ภาคธุรกิจให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการดูแลให้ทั้งซัพพลายเชนใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปลดปล่อยคาร์บอนฟุตพรินท์ลง​อย่างมีนัยสำคัญ