ปัจจุบันการขับเคลื่อน ‘โรดแม็พการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561-2573′ ของประเทศไทยอยู่ในแผนเป้าหมายระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 -2570) ซึ่งเดิมตั้งเป้าหมายยกเลิกการใช้ หรือ การแบนพลาสติกในกลุ่มใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-use Plastic) ทุกประเภท
อาทิ กล่องโฟม หลอดพลาสติก แก้วพลาสติก (< 100 ไมครอน) และถุงหูหิ้วพลาสติก ( < 36ไมครอน) เพื่อลดปริมาณสู่หลุมฝังกลบ และสามารถนำพลาสติกเป้าหมายหลังการบริโภคกลับมาใช้ประโยชน์ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ได้ทั้ง 100% พร้อมทั้งช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกหลุดรอดสู่ทะเลได้ 50% ภายในปี พ.ศ.2570
ปัจจุบันแผนดังกล่าวของประเทศไทยมาได้ราวครึ่งทางแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าในการขับเคลื่อนจริง ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายให้เป็นไปตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากปัญหาสำคัญคือการขาดกฏระเบียบในการบังคับใช้อย่างจริงจัง รวมทั้งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดผลได้จริงในทางปฏิบัติ
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD)ในฐานะประธานเครือข่าย และ นายกสมาคมความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืน (PPP Plastics) กล่าวว่า การขับเคลื่อนโรดแม็พการจัดการขยะพลาสติกในปัจจุบัน ใกล้จะถึงกำหนดตามระยะที่ 2 ในปี พ.ศ. 2570 แล้ว และคาดว่าประเทศไทยคงไม่สามารถบรรลุผลได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากเงื่อนไขสำคัญที่ไม่มีกฏระเบียบที่เข้มแข็งมารองรับ ประกอบกับไม่สามารถหา Win -Win Solutions ให้กับทุกฝ่ายได้ จึงไม่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดเป็นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่แท้จริงได้
“การขับเคลื่อนโรดแม็พที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จเพียงเรื่องเดียว คือการยกเลิกพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม (Cap Seal) เนื่องจากสามารถทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการลดพลาสติกชิ้นเล็กที่มีโอกาสหลุดรอดสู่ธรรมชาติได้สูง ขณะที่ผู้บริโภคก็มีความเข้าใจและเชื่อมั่นในความสะอาดของกระบวนการผลิต รวมทั้งผู้ผลิตเองที่สามารถลดต้นทุนลงได้ ทำให้ทุกฝ่ายตกลงร่วมกันที่จะปฏิบัติตาม ขณะที่เงื่อนไขอื่น ทั้งในระยะที่ 1 และระยะที่2 ไม่ว่าจะเป็นเลิกใช้พลาสติกที่ผสมสารออกโซ (Oxo) หรือการยกเลิกการใช้ Single-use Plastic ยังไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง และเชื่อว่าภายในไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ในปี 2570 ก็คงยังไม่สามารถบรรลุผลได้ เพราะยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันของแต่ละฝ่ายได้ ประกอบกับยังไม่มีข้อกฏหมายในการบังคับใช้ ทำให้ต้องมีการศึกษา และมองผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อน รวมทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ไปจนถึงการวางโครงสร้างในระบบที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยอย่างแท้จริง”
ขณะที่เป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการรีไซเคิลขยะพลาสติกที่ตั้งเป้าไว้ 25% ก็ไม่สามารถบรรลุผลได้เช่นกัน โดยปัจจุบันอยู่ที่ราว 21% จากปริมาณขยะพลาสติกทั้งประเทศกว่า 2 ล้านตัน หรือมีสัดส่วน 13-14% จากปริมาณขยะทั้งประเทศที่ 27 ล้านตัน ซึ่งสัดส่วนการรีไซเคิลขยะพลาสติกได้ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงสถานการณ์โควิด ที่สัดส่วนลดไปเหลือที่ประมาณ 19% ทั้งจากปริมาณขยะพลาสติกที่เพิ่มสูงขึ้น จากบรรจุภัณฑ์อาหาร แต่การจัดเก็บและรีไซเคิลกลับลดลงจากความกังวลในเรื่องของความสะอาดและความปลอดภัย
ทั้งนี้ ทางเครือข่าย PPP Plastic ได้ปรับแผนเพื่อสามารถขับเคลื่อนเป้าหมายการขับเคลื่อน Circular Ecosystem ได้ทั้ง100% และลดโอกาสที่ขยะพลาสติกจะหลุดรอดสู่ทะเล 50% ภายในปี 2570 ให้ได้มากที่สุด ผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อเข้าไปดูแลและควบคุมพลาสติกให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบ In Process ต้ังแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งส่งเสริมการออกแบบและผลิตตามหลัก Eco-design , การส่งเสริมวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพเพื่อทดแทนการใช้ Single-use Plastic , การขับเคลื่อนการจัดการขยะตามแนวทาง EPR รวมทั้งการสร้างความตระหนักผ่านผู้บริโภคในการลดการใช้ ส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ซ้ำ ควบคู่กับการผลักดันการออกกฏหมาย หรือกฏระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และยกระดับประสิทธิภาพของกลุ่มซาเล้ง หรือร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการนำวัสดุหลังการบริโภคกลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิล ได้มากขึ้น และช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Econony Ecosystem) ของประเทศไทย
“การออกแบบตั้งแต่ต้นทางไม่ใช่แค่ต้นทางของขยะ แต่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่การผลิต โดยสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ การออกกฏหมายต่างๆ ภาคธุรกิจต้องสามารถทำได้จริง เพราะจำเป็นต้องมีการลงทุน ซึ่งภาครัฐอาจจะต้องเข้ามามองว่าจะสนับสนุนอย่างไรได้บ้าง หรือการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชน สร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่องของการแยกขยะ และการเก็บกลับคืนเข้าสู่ระบบ ซึ่งต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกับการมีระบบหรือโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ เพื่อสามารถขับเคลื่อนได้จริงในเชิงปฏิบัติ หรือมองหาช่องว่าง รวมทั้งโอกาสที่จะช่วยเพิ่มอัตราการรีไซเคิล การแยกขยะได้จากต้นทางที่เพิ่มมากขึ้น เช่น กลุ่มสายการบินที่สามารถแยกขยะได้ตั้งแต่บนเครื่องหลังจากให้บริการผู้โดยสาร เพราะมีขยะหลากหลายประเภท ทั้งขยะพลาสติก กระดาษ ขยะอาหาร และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น”
ขับเคลื่อน 40 โครงการ ส่งเสริม Circularity Ecosystem
สำหรับการขับเคลื่อนของเครือข่าย PPP Plastic ดำเนินการภายใต้งบประมาณต่อปีราว 20-30 ล้านบาท เพื่อผลักดันภารกิจในการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อลดขยะพลาสติกทั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนา ให้ข้อเสนอแนะด้านนโยบาย กฏหมาย และมาตรการต่างๆ อาทิ โรดแม็พการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561-2573 , แผนปฏิบัติการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) พ.ศ.2564 -2570 , การศึกษาและเสนอข้อคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ( EPR) และการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อมดีของกรุงเทพมหานคร เช่น โครงการ Bangkok Zero Waste และการพัฒนาแผนที่ BKK Green Map
นอกจากนี้ ยังมีมิติด้านโครงสร้างพื้นฐานและโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านโมเดลการจัดการขยะในชุมชนเมือง เช่น คลองเตยโมเดล และ Eco-digiclean คลองเตย, ปทุมวันโมเดล ออกแบบระบบจัดการขยะในห้างสรรพสินค้า ,โครงการมือวิเศษ x วน และมือวิเศษกรุงเทพ ขยายจุดรับขนะพลาสติกและกล่องนมยูเอชที ในเขต กทม. และโครงการระยองโมเดล ส่งเสริมการแยกขยะต้นทางในชุมชน และช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนได้กว่า 1 แสนบาท/เดือน พร้อมต่อยอดสู่ ระยอง Less-Waste ด้วยการขยายการพัฒนาสู่ 68 เทศบาลในระยอง รวมทั้งการเดินหน้าจัดทำฐานข้อมูลด้านขยะพลาสติกของประเทศไทย เพื่อติดตามสถานการณ์ขยะพลาสติกของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยใช้แนวคิด MFA (Materail Flow Analysis) และวิเคราะห์เชิงมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งประเมินวัฏจักรชีวิตของบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพื่อส่งเสริมนโยบายที่เกี่ยวข้อง รวมถึง พ.ร.บ. EPR
พร้อมกันนี้ได้มุ่งเพิ่มความตระหนักผ่านการสร้างการศึกษาและการรับรู้ จากการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน และการพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคการศึกษา พร้อมทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์กับองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน
จากความเชี่ยวชาญ และการดำเนินโครงการต่างๆ กว่า 40 โครงการ นำมาสู่การพัฒนาระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circularity Ecosystem ซึ่งประกอบด้วยโครงการหลัก ได้แก่ โครงการ Smart Recycling Hub ตั้งเป้าเก็บกลับพลาสติกใช้แล้วคุณภาพสูงกลับเข้าสู่ระบบการผลิตให้ได้อย่างน้อย 50,000 ตันต่อปี ,ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์จัดการคัดแยกและแปรรูปวัสดุรีไซเคิล หรือ MRF (Material Recovery Facility) ในพื้นที่นำร่องคือ กรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC รวมทั้งโครงการบกระดับมาตรฐานซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า เพื่อเป็นตัวช่วยสำคัญในการสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน สนับสนุนการยกร่าง พ.ร.บ. EPR และส่งเสริม EPR ภาคสมัครใจ ผ่านการพัฒนาและทดสอบรูปแบบการดำเนินงาน เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทยในอนาคต พัฒนาและต่อยอดระบบฐานข้อมูลการซื้อขายวัสดุรีไซเคิล (Recycle Market Application) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ ทั้งผู้บริโภค ซาเล้ง ร้านรับซื้อของเก่า ศูนย์จัดการขยะ และโรงงานรีไซเคิล เพื่อสนับสนุนระบบ EPR ในอนาคต เป็นต้น
“PPP Plastic มีวิสัยทัศน์ และเป้าหมายในการจัดการขยะพลาสติกได้อย่างยั่งยืน ด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการผลิต และใช้พลาสติกอย่างยั่งยืน และการจัดเก็บอย่างมีระบบ ตามหลักเศรษฐหมุนเวียน และมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อม วล แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ รวมทั้งโลกใบนี้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย End of Plastic Pollutions โดยไม่ได้ต่อต้านการใช้พลาสติก แต่เน้นการยุติปัญหามลพิษจากพลาสติก เพราะเราคงหยุดการใช้พลาสติกไม่ได้ แต่จะใช้อย่างชาญฉลาดได้อย่างไร หาวิธีดึงกลับเข้าสู่ระบบให้มากที่สุด เพื่อสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างแท้จริง” ดร.วิจารย์ กล่าวทิ้งท้าย