Top StoriesTrending

เอสซีจี มองครึ่งปีหลังยังผันผวนหนัก เชื่อยังแข่งขันได้ เร่งขยายตลาด Non-USA พร้อมรุก​ Smart Value – HVA – Green รับความเสี่ยง

เอสซีจีมองครึ่งปีหลัง 2568 ยังท้าทายสูง ทั้งภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เร่งเครื่องธุรกิจผ่าน 3 กลยุทธ์ ทั้งฐานผลิตที่หลากหลายในอาเซียน ความสามารถในการลดต้นทุน และเพิ่มขีดการแข่งขันผ่านสินค้านวัตกรรม Smart Value - HVA - Green รักษาการเติบโตต่อเนื่อง 

คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ประเมินสถานการณ์​​ธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ว่า ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องภาษีสหรัฐ ที่แม้ได้ข้อสรุปแล้ว ก็ยังคง​ต้องจับตาต่อเนื่องในช่วงหลายปีจากนี้ รวมทั้งจำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจต่อได้ในระยะยาว

โดยเฉพาะการขยายตลาดกลุ่ม Non-USA เช่น การเปิดพื้นที่เสรีการค้าใหม่ๆ  แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือการเตรียมความพร้อม และการรักษาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ เพราะหากขยายตลาดออกไปโดยที่ไม่พร้อม และแข่งขันไม่ได้  ก็ไม่ได้สร้างให้เกิดประโยชน์อะไรต่อธุรกิจเช่นกัน

“สถานการณ์เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง ท้าทายมากกว่าครึ่งปีแรก จากอัตราภาษีใหม่ที่สูงขึ้น รวมทั้งยังต้องติดตามในเรื่องของค่าขนส่งที่มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน แต่เชื่อว่าเอสซีจีจะยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ จากการเตรียมพร้อม และวางกลยุทธ์ที่สอดคล้องโดยเฉพาะจุดแข็งจากการมีฐานการผลิตที่หลากหลายภายในภูมิภาค ​และการขยายตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งยุโรป โอเชียเนีย และแอฟริกา รวมทั้งการยกระดับทั้งเทคโนโลยี และพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต ทำให้มีลดต้นทุนที่ลดต่ำลง รวมไปถึงการขยายการลงทุนในกลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีโอกาสเติบโตสูงในตลาดอย่างกลุ่ม  Smart Value – HVA – Green เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจยังสามารถขับเคลื่อนและเติบโตได้ต่อไป”

ขณะที่ประเด็นความอ่อนไหวในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ปัจจุบัน ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเอสซีจี และไม่ส่งผลกระทบต่อพนักงานของทั้ง 2 ประเทศ เพราะไม่ว่า​อย่างไรทั้งหมดถือว่าเป็น พนักงานเอสซีจีทั้งหมด และ​บริษัทยืนยันที่จะดูแลและให้ความช่วยเหลือพนักงานทุกคนอย่างเต็มที่

สำหรับผลประกอบการของเอสซีจี ในช่วงครึ่งปีแรกนั้น ยังคงมีกระแสเงินสด (EBIDA) ที่แข็งแกร่งด้วย โดยปรับตัวดีกว่าครึงหลังของปีที่ผ่านมา 21% หรืออยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินสุทธิลดลงเกือบหมื่นล้านบาท จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ พร้อมทั้งเคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้ผู้ถือหุ้น 2.50 บาทต่อหุ้น

“ครึ่งปีแรกของปีนี้ เอสซีจีมีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท โดยทุกธุรกิจยังคงขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ที่บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ​​​ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (เอสซีจีพี) ปรับแผนผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ร่วมกับใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนได้ดี และ ธุรกิจเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมีรายได้เงินปันผลรับต่อเนื่อง”

วาง 3 กลยุทธ์​  ​เพิ่มศักยภาพรับมือความเสี่ยง

เอสซีจี วาง 3 กลุยทธ์ เพื่อเติบโตต่อเนื่องและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันช่วงครึ่งปีหลัง ที่ยังท้าทายอย่างมาก ทั้ง​จากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่เชื่อว่าจะชะลอตัวจาก​​ผลกระทบ​ภาษี​สหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน โดยมุ่งใช้จุดแข็งจากการมีฐานผลิตที่หลากหลาย การลดต้นทุน และขยาพอร์ตสินค้าศักยภาพสูง ต่อไปนี้

1.​ ชูฐานผลิตหลากหลายใน ‘อาเซียน’ (Regional Optimization)  เพื่อบริหารจัดการ​ต้นทุนให้แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น เอสซีจีซี เตรียมเปิดโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568 และเพิ่มศักยภาพแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้​  เพื่อเจาะตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม  เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร

รวมทั้งเพิ่มตลา​ดใหม่ เช่น ทวีปแอฟริกา ขยายตลาด ปูนเม็ด (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย ขยายตลาด 3D Printing Solution​  ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด หลังคาและฝาฝ้า​ ไป​​ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และการขยายตลาด ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2​​ ไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3​ สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก ของเอสซีจี เดคคอร์ และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ของเอสซีจีพี

2.​ ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก  ผ่านการพัฒนาการใช้หุ่นยนต์และ AI สำหรับกระบวนการ Operation ในแต่ละธุรกิจ รวมทั้งการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานเพื่อลดความซ้ำซ้อน และช่วยลดต้นทุนจากการบริหารจัดการให้ลดลง

3. ดันสินค้า ‘Smart Value – HVA – Green’ รุกตลาดเติบโตสูง 

สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP)  เช่น ปูน ADAMAX ในเวียดนาม , ปูน 5 Star ในกัมพูชา, ปูน Bezt ในอินโดนีเซีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์­  หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve  โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และกระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO  โดย เอสซีจี เดคคอร์

สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) และโซลูชัน เช่น CHILLOX โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็นที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ลดการใช้ไฟฟ้า และกักเก็บความเย็นได้นาน ซึ่งเป็นการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์มาต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดย เอสซีจีซี  ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูงสำหรับท่อร้อยสายไฟใต้ดิน  และ ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป รายแรกในไทย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์  ONNEX ArcBox  นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้ลุกลามแผงโซลาร์ที่ใช้เทคโนโลยีจากอังกฤษ และ  ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์  ที่พัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นและยืดหยุ่น โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง  

สินค้ากรีน (Green Products) เช่น ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR รายแรกในไทย โดย เอสซีจีซี และ กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท ที่มีเทคโนโลยี HeatSync ช่วยสะท้อนความร้อนได้ดีและคายความร้อนได้เร็ว โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง 

“เอสซีจี ยังได้​ร่วมกับพันธมิตร​ภาคส่วนต่างๆ ภายในระบบนิเวศ ​​​จัดโครงการ ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ ต่อเนื่อง รวมทั้งจัด Leadership Forum ในงาน ‘ESG Symposium’ ช่วงสิงหาคม – ตุลาคม 2568 ด้วยความเชื่อว่า​การร่วมมือกับ​ทั้งระบบนิเวศ ​เป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยได้​เชิญองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) รวมทั้งองค์กรชั้นนำระดับประเทศ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มาร่วมหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจ ตลอดจนผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Green Transition) และพร้อมแข่งขันระดับโลกท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ได้ “

ชูไฮไลท์ โดดเด่น ครึ่งปีแรก  

การดำเนินงานที่สำคัญช่วงครึ่งปีแรกนี้ แต่ละธุรกิจสามารถลดต้นทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ที่ไม่ใช่เพียงการแข่งแค่ในประเทศหรือภูมิภาค แต่ต้องแข่งได้ในเวทีโลก รวมทั้งการปรับโครงสร้างธุรกิจ หยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร พร้อมขยายตลาดในสินค้าที่มีศักภาพ และเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม

– ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก

เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าจากผลพลอยได้ในสายผลิตภัณฑ์  ทำให้ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงาน ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียน​ 6,989 ล้านบาท ​, เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 1,100 ล้านบาท,  เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด เจรจาลดต้นทุนวัตถุดิบ บริหารจัดการสินค้าคงคลัง ลดต้นทุนได้ 146 ล้านบาทต่อปี,   เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้หุ่นยนต์และพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 105 ล้านบาท

– ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท

– ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท