กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) โชว์ความสำเร็จการยกระดับธุรกิจ SMEs ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ ส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน
พร้อมทั้งส่งเสริมด้านการผลิตและบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามแนวทางอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในกระบวนการผลิต การขนส่ง รวมถึงเกิดการใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน และทรัพยากรในการดำเนินธุรกิจอย่างคุ้มค่า ตลอดจนเกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงออกสู่ตลาดและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดยคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,385 ล้านบาท และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 120,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) มีแนวทางการดำเนินงานที่มุ่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการในทุก ๆ มิติอย่างตรงจุด ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนีตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ผ่านกลยุทธ์ 4 ให้ ได้แก่ 1. ให้ทักษะใหม่ 2. ให้เครื่องมือทันสมัย 3. ให้โอกาสโตไกล และ 4. ให้ธุรกิจที่ดีคู่ชุมชน รวมถึงการดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียวควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ผ่าน “โครงการยกระดับธุรกิจ SMEs ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG” ด้วยการส่งเสริม SMEs ให้เกิดการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกยุคใหม่
พร้อมยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ตามแนวคิด BCG Economy โดยใช้กลไกต่าง ๆ ดังนี้
1) การถ่ายทอดองค์ความรู้การต่อยอดธุรกิจยุคใหม่สู่สังคมคาร์บอนต่ำและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
2) การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว และการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
3) การยกระดับสินค้าและบริการสู่สากลด้วยฉลาดสิ่งแวดล้อม (ECO-Certified) เพื่อขอรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก อาทิ CFO, CFP, ISO 14064
4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์สิ่งแวดล้อมตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการสร้างความยั่งยืนที่ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวธุรกิจเท่านั้นแต่เพื่อสังคมและชุมชนรอบข้างที่เราอยู่ร่วมกัน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” ของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสีเขียวและนำอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ หรือ Industry 5.0 รวมทั้งเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่ไปในอนาคต
นางสาวณัฏฐิญา กล่าวต่อว่า โครงการ “ยกระดับธุรกิจ SMEs ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG” ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้ SMEs ดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงทำให้ SMEs มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากต้นทุนลดลงทั้งจากการลดความสูญเสียจากการปรับปรุงกระบวนการผลิต การขนส่ง การใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทนและการใช้ทรัพยากรในการดำเนินธุรกิจอย่างคุ้มค่า ตลอดจนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงออกสู่ตลาด ซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,385 ล้านบาท และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 120,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 12 ล้านต้น ในพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่
โดยการจัดงานในวันนี้ เป็นการแสดงศักยภาพของ SMEs ที่พร้อมปรับตัวเพื่อมองหาโอกาสใหม่ที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างเข้มแข็ง อีกทั้ง ยังเป็นการสร้างการรับรู้ให้ผู้ประกอบการ นิสิตนักศึกษา เกิดการตื่นตัวในการพัฒนาธุรกิจ โดยการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันให้สูงขึ้น ซึ่งภายในงานได้จัดแสดงต้นแบบผู้ประกอบการที่ใช้โมเดล BCG ในการดำเนินธุรกิจจนประสบความสำเร็จมาถ่ายทอดสู่ SMEs เพื่อนำไปต่อยอดการเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างโอกาสทางธุรกิจ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขณะเดียวกัน ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการและผลงานจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ อาทิ 1) บริษัท แบ็กส์ แอนด์ โกล์ฟ จำกัด ผู้ผลิต Upcycling Chair – Turtle Series “เก้าอี้ทรงเต่า” ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล 2) บริษัท แอ็ดวานซ์ แมททีเรียล ซัพพลาย จำกัด ผู้ผลิตอิฐ Low Carbon ลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต 3) บริษัท แกรนดี้อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิต Recycle Set เสื้อ Recycle จากขวดพลาสติก และ 4) บริษัท อารีเฮิร์บ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงรากผมและหนังศีรษะที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติโดยเฉพาะสารสกัดจากมะขามป้อม
“สิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของโลก ดังนั้น การปรับตัวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำจะถือโอกาสใหม่ ที่จะทำให้ธุรกิจมีขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ และสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย