หลังจากริเริ่มขับเคลื่อน ‘โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน‘ หรือการสร้างคาร์บอนเครดิตจาก ‘ป่าชุมชน‘ มาตั้งแต่ ปี 2564 วันนี้ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมรราชูปถัมภ์’ สามารถส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากการดำเนินงานในเฟสแรก ให้ภาคีภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนได้เรียบร้อยแล้ว
สำหรับการดำเนินงานในพื้นที่ป่าชุมชน ได้ต่อยอดองค์ความรู้และประสบการณ์มาจากการทำงานในโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเฉพาะแนวคิดหลักของการพัฒนาตามตำราแม่ฟ้าหลวง คือ ‘ปลูกป่า ปลูกคน’ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อทุกฝ่ายทั้งการดูแลธรรมชาติ การส่งเสริมรายได้ให้คนในชุมชน รวมทั้งภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนโครงการ ซึ่งตลอดการขับเคลื่อนที่ผ่านมานี้ โครงการสามารถเข้าไปฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่าชุมชนได้แล้วกว่า 2.5 แสนไร่
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเผยในเวที MFLF Sustainability Forum 2025 โดยกล่าวว่า ‘โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน’ ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตในเฟสแรกจาก 12 ชุมชน รวมทั้งสิ้น 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) หรือเทียบได้กับจำนวนตึกสูง 11 ชั้น ที่ปลูกเต็มพื้นที่ของสวนเบญจกิตติ และมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 4 เท่า พร้อมนำส่งมอบให้ภาคเอกชนที่สนับสนุนโครงการในเฟสแรกแล้ว ซึ่งถือเป็นการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ที่มีจำนวนสูงสุดของประเทศ
สำหรับองค์กรที่ได้รับมอบคาร์บอนเครดิตในเฟสแรกนี้ มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 7 แห่ง ประกอบด้วย 1.บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) 2. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 4. บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) 5. บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) 6. บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และ 7. PwC ประเทศไทย
ความสำเร็จดังกล่าว มาจากการทำงานอย่างหนักและความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่ เพื่อมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่า ทำให้สามารถดูแลป่าได้อย่างมีคุณภาพและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคาร์บอนเครดิตได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการบริหารจัดการเพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างเท่าเทียมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน รวมทั้งการคัดเลือกชุมชนและพื้นที่ป่าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำงานร่วมกับชุมชนที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ ผ่านการเลือกชุมชนที่มีความเสี่ยงต่ำ และพื้นที่ป่าที่มีศักยภาพในการเติบโตได้สูงที่สุด
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ปิดโครงการด้วยพื้นที่ 33,000 ไร่ จากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้หลายบริษัทลดปริมาณการสนับสนุนการดูแลพื้นที่ป่าลง แต่ในอนาคตคาดว่าจะมีความต้องการโครงการลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าปีหน้าจะสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าผ่านโครงการได้ 120,000 ไร่ ขณะที่คาร์บอนเครดิตที่สร้างได้จะอยู่ที่ราว 0.5 ตัน CO2e ต่อไร่ ซึ่งได้การันตีขึ้นต่ำที่ 0.3 ตัน CO2e ต่อไร่ต่อปี แต่หากดูแลป่าได้ดีทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับได้ดีขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมา ตัวเลขจริงอยู่ที่ 1,8 ตัน CO2e ต่อไร่ต่อปี ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ไว้ถึง 4 เท่า ขณะที่การสนับสนุนของภาคเอกชน งบประมาณหลักราว 55% จะถูกส่งตรงไปให้กับชุมชน ส่วนที่เหลือจะเป็นงบประมาณสำหรับการขึ้นทะเบียนและบริหารจัดการ
“แม้โครงการจะสามารถส่งมอบคาร์บอนเครดิตได้ตามเป้าหมาย แต่เพื่อให้โครงการสามารถสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องมองการขับเคลื่อนที่มากกว่าแค่การสร้างคาร์บอนเครดิต แต่เป็นการฟื้นฟูธรรมชาติและดูแลความหลากลายทางชีวภาพได้แบบองค์รวม หรือมองข้ามจากแค่เรื่อง Carbon Credit ไปสู่ Biodiversity Credit หรือ Nature Credit ด้วย เพราะเรื่องคาร์บอนเครดิตเป็นหน่วยวัดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ธรรมชาติ หรือ Biodiversity ทั้งสัตว์ แมลง หรือพันธุ์พืชต่างๆ จะสามารถสร้างผลกระทบไปสู่อนาคตได้ด้วย”
ทั้งนี้ การพัฒนาโมเดลเพื่อความยั่งยืน ในโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูธรรมชาติต่างๆ จำเป็นต้องมองให้กว้างและครอบคลุมโดยเฉพาะการคำนวณต้นทุนในการดำเนินการ ที่มีมากกว่าแค่ต้นทุนในการปลูกหรือดูแลป่า แต่ต้องมองรวมไปถึงต้นทุนที่จะทำให้คนที่อาศับอยู่ในพื้นที่ป่า สามารถอยู่รอดได้ด้วย ซึ่งพบว่า พื้นที่ป่าประเทศไทยในทุกๆ 1.5 ไร่ จะมีประชากร 1 คน ที่อาศัยอยู่ หรือใช้ชีวิตโดยพึ่งพาพื้นที่ป่า ดังนั้น การจะพัฒนาโมเดลในการอนุรักษ์หรือฟื้นฟูให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืน จำเป็นต้องคำนวณปัจจัยเหล่านี้ลงไปในสมการด้วย
เสนอ 7 ทางออก ประเทศไทย
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ยังได้สรุป 7 ประเด็น เพื่อการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนสำหรับเป็นทางออกให้ประเทศไทย ประกอบด้วย
1. วิธีคิดในการทำธุรกิจแบบเดิมๆ เหมือนที่ผ่านมา BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพออีกต่อไป ต้องลงลึกในการทำงานที่มากกว่าเดิม และไม่มองเพียงแค่มิติของสิ่งแวดล้อม แต่ต้องมองให้ครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม หรือ Total Well Being ซึ่งรวมถึงธรรมชาติอยู่ในสมการนี้ด้วย
2. เตรียมความพร้อมสำหรับการคว้าโอกาสจากปัญหาและความท้าทายรอบด้านต่างๆ และลุกขึ้นมาลงทุนด้าน Nature Credit เพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ซัพพลาย หรือกลไกต่างๆ ยังไม่สามารถรองรับการเติบโตของดีมานด์ได้อย่างเพียงพอ
3. โฟกัสในผลลัพธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เช่นเดียวกับโครงการป่าชุมชนที่ประสบความสำเร็จในเฟสแรกแล้ว ขณะที่เฟสต่อๆ ไป จะเริ่มจับต้องได้มากขึ้นในปีต่อไป และเป็นความสำเร็จที่เกิดจากการปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น
4. ปรับโฟกัสในการวางเป้าหมายระยะยาวใหม่ โดยต้องมองแบบข้ามรุ่น ข้ามเจนเนอเรชั่น มากกว่าแค่การวางแผนแบบ 10 -15 ปี แบบที่ผ่านมา เพราะปัญหาทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ผลกระทบไม่ได้เกิดในรุ่นเรา แต่เป็นรุ่นต่อจากเรา ในอีก 30-50 ปี จึงต้องมีแผนรองรับที่ครอบคลุม โดยเฉพาะการปรับสมดุล 3P ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันความเสี่ยงแบบ Slow on Set หรือผลกระทบที่ค่อยๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เช่น ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อุณหภูมิที่สูงขึ้น และกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน หรือสุขภาพ เป็นต้น
5. การกำหนดกฏเกณฑ์ กติกาใหม่ ที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม และพิจารณาถึงผลกระทบในการกำหนดใช้กฏเกณฑ์ต่างๆ อย่างรอบคอบ และถี่ถ้วน เช่น การไปกระทบต่อสิทธิ์ในพื้นที่ทำกินของประชาชน รวมทั้งป้องกันการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจไปครอบงำการพัฒนาและผลประโยชน์ที่ควรจะเป็นของชุมชน
6. การเพิ่มศักยภาพในภาคการเกษตร ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตได้สูง และสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ตลอดทั้ง Supply Chain หากสามารถปลดล็อกเพื่อเพิ่มศักยภาพทั้งเรื่องต้นทุน การใช้ทรัพยากรดิน น้ำ และมีการวิจัยอย่างจริงจัง เพื่อผลิตและแปรรูปสินค้าให้ตรงกับความต้องการของโลก เชื่อว่าจะเป็นโอกาสเติบโตของประเทศ รวมทั้งสามารถกระจายรายได้ลงมาสู่ชุมชนที่เป็นต้นน้ำได้ด้วย
7. การทบทวนกฏเกณฑ์ บทบาท ความร่วมมือ และหาโมเดลและโซลูชั่นในการขับเคลื่อนใหม่ๆ เพราะไม่สามารถใช้วิธีเดิมๆ ในการแก้ปัญหาได้ โดยส่ิงที่ทุกคนต้องคำนึงถึงคือ Cost of Action และ Cost of Inaction หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อการเลือกที่จะทำ หรือเลือกที่จะไม่ทำสิ่งใดๆ ซึ่งต้องประเมินถึงอิมแพ็คหรือผลกระทบที่จะตามมาอย่างรอบด้าน