Top StoriesTrending

แม่ฟ้าหลวงฯ ปลื้มคาร์บอนเครดิต โครงการป่าชุมชนเฟสแรกทะลุเป้า 4 เท่า ได้รับรองแล้วกว่า 4.3 หมื่นตัน CO2e จาก 12 ชุมชน พร้อมส่งมอบภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน

'โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน' ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตในเฟสแรกจาก 12 ชุมชน รวมทั้งสิ้น 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) หรือเทียบได้กับจำนวนตึกสูง 11 ชั้น ที่ปลูกเต็มพื้นที่ของสวนเบญจกิตติ และมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 4 เท่า

หลังจากริเริ่ม​ขับเคลื่อน ‘โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน‘ หรือการสร้างคาร์บอนเครดิตจาก ‘ป่าชุมชน‘ มาตั้งแต่ ปี 2564  วันนี้ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมรราชูปถัมภ์’ สามารถส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากการดำเนินงานในเฟสแรก ​​ให้ภาคีภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนได้เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการดำเนินงานในพื้นที่ป่าชุมชน ได้ต่อยอดองค์ความรู้และประสบการณ์มาจากการทำงานในโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเฉพาะแนวคิดหลักของ​การพัฒนาตามตำราแม่ฟ้าหลวง คือ ‘ปลูกป่า ปลูกคน’  เพื่อ​สร้าง​ประโยชน์ต่อทุกฝ่ายทั้งการดูแลธรรมชาติ การส่งเสริมรายได้ให้คนในชุมชน รวมทั้งภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนโครงการ ซึ่งตลอดการขับเคลื่อนที่ผ่านมานี้ ​โครงการสามารถเข้าไปฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่าชุมชนได้แล้วกว่า 2.5 แสนไร่ ​​​

หม่อมหลวงดิศปนัดดาดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ  เปิดเผยในเวที MFLF Sustainability Forum 2025 โดยกล่าวว่า ‘โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน’ ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตในเฟสแรกจาก 12 ชุมชน รวมทั้งสิ้น 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) หรือเทียบได้กับจำนวนตึกสูง 11 ชั้น ที่ปลูกเต็มพื้นที่ของสวนเบญจกิตติ และมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 4 เท่า พร้อม​นำส่งมอบให้ภาคเอกชนที่สนับสนุนโครงการในเฟสแรกแล้ว ซึ่งถือเป็นการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ที่มีจำนวนสูงสุดของประเทศ 

สำหรับองค์กรที่ได้รับมอบคาร์บอนเครดิตในเฟสแรกนี้ มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 7 แห่ง ประกอบด้วย ​ 1.บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) 2. สำ​นักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3.  ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 4.  บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) 5. บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) 6. บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และ  7. PwC ประเทศไทย

ความสำเร็จดังกล่าว มาจากการทำงานอย่างหนักและความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่ เพื่อมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่า ​ทำให้สามารถดูแลป่าได้อย่างมีคุณภาพและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคาร์บอนเครดิตได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการบริหารจัดการเพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างเท่าเทียมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน รวมทั้งการคัดเลือกชุมชนและพื้นที่ป่าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำงานร่วมกับชุมชนที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ ผ่านการเลือกชุมชนที่มีความเสี่ยงต่ำ และพื้นที่ป่าที่มีศักยภาพในการเติบโตได้สูงที่สุด

สำหรับภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้  มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ​ปิดโครงการด้วยพื้นที่ 33,000 ไร่ ​จากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้หลายบริษัทลดปริมาณการสนับสนุนการดูแลพื้นที่ป่าลง แต่ในอนาคตคาดว่าจะมีความต้องการโครงการลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าปีหน้า​จะสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าผ่านโครงการได้ 120,000 ไร่ ขณะที่คาร์บอนเครดิตที่สร้างได้จะอยู่ที่ราว 0.5 ตัน CO2e ต่อไร่ ซึ่งได้การันตีขึ้นต่ำที่ 0.3 ตัน CO2e ต่อไร่ต่อปี แต่หากดูแลป่าได้ดีทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับได้ดีขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมา ตัวเลขจริงอยู่ที่ 1,8 ตัน CO2e ต่อไร่ต่อปี ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ไว้ถึง 4 เท่า ขณะที่การสนับสนุนของภาคเอกชน งบประมาณหลักราว 55% จะถูกส่งตรงไปให้กับชุมชน​ ส่วนที่เหลือจะ​เป็นงบประมาณสำหรับการขึ้นทะเบียนและบริหารจัดการ​

“แม้โครงการจะสามารถส่งมอบคาร์บอนเครดิตได้ตามเป้าหมาย แต่เพื่อให้โครงการสามารถสร้างการพัฒนา​ที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องมองการขับเคลื่อนที่มากกว่าแค่การสร้างคาร์บอนเครดิต แต่เป็นการฟื้นฟูธรรมชาติและดูแลความหลากลายทางชีวภาพได้แบบองค์รวม หรือมองข้ามจากแค่เรื่อง Carbon Credit ไปสู่ Biodiversity Credit หรือ Nature Credit ด้วย  เพราะเรื่องคาร์บอนเครดิต​เป็นหน่วยวัดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ธรรมชาติ หรือ Biodiversity ทั้งสัตว์ แมลง หรือพันธุ์พืชต่างๆ จะสามารถสร้างผลกระทบไปสู่อนาคตได้ด้วย”​

​ทั้งนี้ การพัฒนาโมเดลเพื่อความยั่งยืน ในโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูธรรมชาติต่างๆ จำเป็นต้องมองให้กว้างและครอบคลุมโดยเฉพาะการคำนวณต้นทุนในการดำเนินการ ที่มีมากกว่าแค่ต้นทุนในการปลูกหรือดูแลป่า แต่ต้องมองรวมไปถึงต้นทุนที่จะทำให้คนที่อาศับอยู่ในพื้นที่ป่า สามารถอยู่รอดได้ด้วย ซึ่งพบว่า พื้นที่ป่าประเทศไทยในทุกๆ 1.5 ไร่ จะมี​ประชากร 1 คน ที่อาศัยอยู่ หรือใช้ชีวิตโดยพึ่งพาพื้นที่ป่า ดังนั้น การจะพัฒนาโมเดลในการอนุรักษ์หรือฟื้นฟูให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืน จำเป็นต้องคำนวณปัจจัยเหล่านี้ลงไปในสมการด้วย

เสนอ 7 ทางออก ประเทศไทย

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ยังได้สรุป 7 ประเด็น เพื่อการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนสำหรับเป็นทางออกให้ประเทศไทย ประกอบด้วย

1.  วิธีคิดในการทำธุรกิจแบบเดิมๆ เหมือนที่ผ่านมา BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพออีกต่อไป ​ต้องลงลึกในการทำงานที่มากกว่าเดิม และไม่มองเพียงแค่มิติของสิ่งแวดล้อม แต่ต้องมองให้ครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม หรือ Total Well Being  ซึ่งรวมถึงธรรมชาติอยู่ในสมการนี้ด้วย

2. เตรียมความพร้อมสำหรับการคว้าโอกาสจากปัญหาและความท้าทายรอบด้านต่างๆ และลุกขึ้นมาลงทุนด้าน Nature Credit เพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ซัพพลาย หรือกลไกต่างๆ ยังไม่สามารถรองรับการเติบโตของดีมานด์ได้อย่างเพียงพอ

3. โฟกัสในผลลัพธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เช่นเดียวกับโครงการป่าชุมชนที่ประสบความสำเร็จในเฟสแรกแล้ว ขณะที่เฟสต่อๆ ไป จะเริ่มจับต้องได้มากขึ้นในปีต่อไป และเป็นความสำเร็จที่เกิดจากการปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น

4. ปรับโฟกัสในการวางเป้าหมายระยะยาวใหม่ โดยต้องมองแบบข้ามรุ่น ข้ามเจนเนอเรชั่น มากกว่าแค่การวางแผนแบบ 10 -15 ปี แบบที่ผ่านมา เพราะปัญหาทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ผลกระทบไม่ได้เกิดในรุ่นเรา แต่เป็นรุ่นต่อจากเรา ในอีก 30-50 ปี จึงต้องมีแผนรองรับที่ครอบคลุม โดยเฉพาะการปรับสมดุล 3P ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันความเสี่ยงแบบ Slow on Set หรือผลกระทบที่ค่อยๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เช่น ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อุณหภูมิที่สูงขึ้น และกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน หรือสุขภาพ เป็นต้น

5. การกำหนดกฏเกณฑ์ กติกาใหม่ ที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม และพิจารณาถึงผลกระทบในการกำหนดใช้กฏเกณฑ์ต่างๆ อย่างรอบคอบ และถี่ถ้วน เช่น การไปกระทบต่อสิทธิ์ในพื้นที่ทำกินของประชาชน รวมทั้งป้องกันการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจไปครอบงำการพัฒนาและผลประโยชน์ที่ควรจะเป็นของชุมชน

6. การเพิ่มศักยภาพในภาคการเกษตร ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตได้สูง และสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ตลอดทั้ง Supply Chain หากสามารถปลดล็อกเพื่อเพิ่มศักยภาพทั้งเรื่องต้นทุน การใช้ทรัพยากรดิน น้ำ และมีการวิจัยอย่างจริงจัง เพื่อผลิตและแปรรูปสินค้าให้ตรงกับความต้องการของโลก เชื่อว่าจะเป็นโอกาสเติบโตของประเทศ รวมทั้งสามารถกระจายรายได้ลงมาสู่ชุมชนที่เป็นต้นน้ำได้ด้วย

7. การทบทวนกฏเกณฑ์ บทบาท ความร่วมมือ และหาโมเดลและโซลูชั่นในการขับเคลื่อนใหม่ๆ เพราะไม่สามารถใช้วิธีเดิมๆ ในการแก้ปัญหาได้ โดยส่ิงที่ทุกคนต้องคำนึงถึงคือ Cost of Action และ Cost of Inaction หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อการเลือกที่จะทำ หรือเลือกที่จะไม่ทำสิ่งใดๆ ซึ่งต้องประเมินถึง​อิมแพ็คหรือผลกระทบที่จะตามมาอย่างรอบด้าน