Dialogue

ทำไม? ‘โปรตีนจากพืช’​ ถึงเป็นความยั่งยืนแห่งอนาคต

 

หากเทียบปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก GHG Emissions พบว่า การผลิตโปรตีนจากสัตว์มีปริมาณการปลดปล่อยสูงกว่า​​ ‘โปรตีนจากพืช’ ​หลายเท่าตัว โดยอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์สร้าง GHG Emissions ​สัดส่วนถึง 15% ของการปลดปล่อยทั่วโลก รวมทั้งความคุ้มค่าในการใช้พื้นที่ เพราะการทำปศุสัตว์ที่กินพื้นที่ถึง 80% ของโลก แต่ผลิตอาหารให้มนุษย์ไม่ถึง 20%

หรือหากเทียบการผลิตโปรตีนแต่ละชนิด ในปริมาณ 100 กรัม เช่น การผลิตเนื้อวัว จะสร้าง Emission เกือบ 50 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (KgCO2e) กุ้งเลี้ยงมากกว่า 18 KgCO2e หรือนมจากสัตว์ ปลดปล่อย 9.5 KgCO2e ขณะที่กลุ่มธัญพืช ปล่อย GHG เพียง 2.7 KgCO2e เต้าหู้ 1.98 KgCO2e หรือพืชตระกูลถั่วต่างๆ ปล่อยไม่ถึง 1 KgCO2e เป็นต้น

ขณะที่ ‘ประเทศไทย’ มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางโปรตีนจากพืชของภูมิภาคได้ ผ่านการสร้างความหลากหลายของอาหารที่ให้โปรตีน ในฐานะ ‘ครัวของโลก’ และการเร่งเปลี่ยนผ่านเพื่อส่งเสริมโปรตีนจากพืช เพื่อเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันให้ประเทศ ทั้ง​การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่​ยั่งยืนในประเทศไทย

จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อ​ส่งเสริมการขยายสัดส่วนโปรตีนจากพืชเพื่อทดแทนโปรตีนจากสัตว์ในระบบการผลิตของประเทศไทย ให้ได้​ 50% ภายในปี 2050 เพื่อนำมาซึ่งประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มในมิติต่างๆ ได้ต่อไปนี้

• การสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้ถึง 1.3 ล้านล้านบาท
• เพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตัวเอง จากโอกาสในการสร้างงานได้สูงสุดถึง 1.15 ล้านตำแหน่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมโปรตีนจากพืช
• ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 35.5 ล้านตันต่อปี เทียบเท่าการลดจำนวนรถยนต์ 8.45 ล้านคันในสหรัฐอเมริกา
• ประหยัดพื้นที่การผลิตถึง 21,700 ตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับพื้นที่ของ จ.นครราชสีมา