เมื่อทั้งโลกกำลังขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนโดยไม่ส่งผลกระทบเชิงลบทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ มุ่งเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอุตสาหกรรม High Carbon Emission หรือกลุ่มที่มีการปล่อยคาร์บอนในระดับสูง ที่ต่างพัฒนาเทคโนโลยีลดคาร์บอน (Decarbonization) พร้อมวางโรดแม็พลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการบรรลุสู่เป้าหมายที่วางไว้อย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมที่ถูกมองว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง โดย ICAO (องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ) ระบุปริมาณคาร์บอนที่เกิดจากอุตสาหกรรมการบินในปี 2562 มีมากถึง 920 ล้านตัน หรือ 2-2.5% ของปริมาณคาร์บอนทั่วโลก จึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ถูกคาดหวังให้แสดงความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนควบคู่ไปกับการช่วยแก้ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
‘โรงกลั่นชีวภาพ’ หรือ Biorefinery ผลิต SAF สำเร็จรายแรกของไทย
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยเดินหน้ากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนสู่ ธุรกิจมูลค่าสูง–คาร์บอนต่ำ (High Value & Low Carbon Business) เป็นผู้บุกเบิกการผลิต ‘เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน’ (SAF: Sustainable Aviation Fuel) หรือ เรียกให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่า ‘น้ำมันเครื่องบิน’ ที่ผลิตได้จากแหล่งพลังงานชีวภาพต่างๆ รวมไปถึงน้ำมันพืชใช้แล้ว หรือ UCO (Used Cooking Oil) ที่ทาง GC ได้ศึกษาและพบว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมและตรงกับความต้องการใช้งานของกลุ่มสายการบินมากที่สุด เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบร่วมกับน้ำมันดิบ แทนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลเพียงอย่างเดียว ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซCircular Economyคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป
ทั้งนี้ GC สามารถผลิต SAF ได้สำเร็จเป็นรายแรกของไทยและมีสายการบินนำไปใช้เชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ภายใต้การรับรองมาตรฐานระดับสากลทั้ง ISCC CORSIA ซึ่งเป็นมาตรฐานความยั่งยืนที่ยอมรับในอุตสาหกรรมการบิน และ ISCC Plus สำหรับการใช้วัตถุดิบชีวภาพและวัสดุหมุนเวียนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน
ความพิเศษและแตกต่างของ SAF ที่ผลิตโดย GC อยู่ที่ต้นทางและเทคโนโลยีการผลิต เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จาก ‘โรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) แบบครบวงจร’ ที่ใช้องค์ความรู้และความชำนาญด้านการกลั่นมาพัฒนาต่อยอดโรงกลั่นเดิมให้สามารถผลิต SAF ได้ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ จึงทำให้ธุรกิจมีต้นทุนที่ต่ำกว่าและช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันได้มากขึ้น รวมทั้งใช้เวลาดำเนินการไม่นาน ส่งผลให้โรงกลั่นชีวภาพ Biorefinery สามารถเดินหน้าเปิดให้บริการรองรับการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา
ต่อยอดระบบนิเวศจาก SAF สู่วัสดุยั่งยืนแห่งอนาคต
โรงกลั่นชีวภาพแห่งนี้ ไม่เพียงรองรับการผลิตพลังงานสะอาดอย่าง SAF เท่านั้น แต่ GC ยังเลือกใช้ ‘เทคโนโลยีการผลิตร่วมแบบ Co-processing’ และสร้างให้ทั้งระบบการผลิตมีความเชื่อมโยงกัน ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้ได้ Bio-Naphtha ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลผลิตของกระบวนการกลั่น และสามารถนำมาต่อยอดเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตวัสดุแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเคมีภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-Chemicals) หรือพลาสติกชีวภาพ (Bio-Plastics) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับเทรนด์โลกในยุคความยั่งยืนได้เป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและคงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โรงกลั่นชีวภาพ Biorefinery ของ GC ถือเป็นโรงงานแห่งแรกของประเทศที่สามารถผลิต SAF เชิงพาณิชย์ได้ และยังเป็นโรงงานเพียงแห่งเดียวที่สามารถผลิตได้ทั้งพลังงานสะอาด เคมีภัณฑ์ชีวภาพ และพลาสติกชีวภาพ ภายในโรงงานเดียวกันและจากกระบวนการเดียวกัน รวมทั้งทุกผลิตภัณฑ์ที่โรงกลั่นแห่งนี้ผลิตได้ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และยังเป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ โรงกลั่นฯ นี้ยังช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เนื่องจากการใช้วัตถุดิบต้นทางจากของเสียในครัวเรือนอย่างน้ำมันพืชใช้แล้ว มาผสมกับน้ำมันดิบ เพื่อเข้าสู่กระบวนการแปรรูป จนได้ผลิตภัณฑ์พลังงานสะอาดหรือวัสดุยั่งยืนแห่งอนาคต ที่ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะและผลกระทบจากการทิ้งที่ไม่ถูกวิธี ยังลดการใช้พลังงานฟอสซิลและลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงตลอดทั้ง Ecosystem ที่ได้นำผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดไปใช้ พร้อมสร้างอาชีพและรายได้ให้ผู้คนเพิ่มมากขึ้น จากการเก็บน้ำมันพืชใช้แล้วภายในครัวเรือนไปจำหน่ายเพื่อส่งต่อเป็นวัตถุดิบให้โรงกลั่นฯ
โดย GC ยังได้ส่งเสริมการจัดตั้ง Community Waste Hub ร่วมกับชุมชนใน จ.ระยอง เพื่อเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บน้ำมันพืชใช้แล้วเพื่อมาป้อนเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตได้อย่างเพียงพอ ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในชุมชนให้ดีขึ้นด้วย
เทคโนโลยีการผลิตแบบ Co-processing นี้ ยังสามารถรองรับการใช้วัสดุการเกษตรในกลุ่มพลังงาน อาทิ มันสำปะหลัง ปาล์ม หรืออ้อย มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันพืชใช้แล้วได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นแนวทางช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อช่วยเหลือและสร้างรายได้ให้กลุ่มเกษตรกรภายในประเทศเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
เร่งขยายพันธมิตร แนวร่วม ‘ท้องฟ้าคาร์บอนต่ำ’
สำหรับแผนขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มพลังงานสะอาด เบื้องต้นโรงกลั่น Biorefinery แบบครบวงจรของ GC สามารถผลิต SAF ในเฟสแรกได้ 6 ล้านลิตรต่อปี หรือราว 5,000 ตัน และจะขยายเพิ่มเติมอีก 4 เท่า เป็น 24 ล้านลิตรต่อปี หรือ 25,000 ตัน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 15,000 ตันต่อปีในระยะแรก และเพิ่มเป็น 60,000 ตันต่อปีในระยะที่สอง
หนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จคือ การผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรใน Ecosystem เพื่อนำ SAF ที่ผลิตได้ ไปใช้ในเที่ยวบินเชิงพาณิชย์จริงเป็นครั้งแรกของประเทศไทย นำร่องโดย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส รวมทั้งการลงนามเพิ่มเติมกับ การบินไทย เพื่อนำ SAF ไปผสมในเชื้อเพลิงอากาศยานสำหรับเที่ยวบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ และอีกหนึ่งพันธมิตรสำคัญอย่าง โออาร์ (บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)) ที่เข้ามาช่วยขยายตลาดและพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่าย SAF เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อร่วมสร้างท้องฟ้าคาร์บอนต่ำ และจะทำให้ทุกการเดินทางของทุกคนช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อโลก ขณะที่แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านกฎระเบียบด้านการบิน ที่จะกำหนดให้มีการใช้ SAF จากภาคสมัครใจไปสู่ภาคบังคับ จะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตลาดสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด จากการใช้ SAF อย่างแพร่หลายมากขึ้น รวมทั้งผลกระทบจากอุตสาหกรรมการบินที่มีต่อโลกก็จะลดลงได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวัสดุยั่งยืน ซึ่งเป็นการต่อยอด Bio-Naphtha ที่ได้มาจากกระบวนการผลิตภายในโรงกลั่น ปัจจุบันสามารถนำมาผลิตทั้งเคมีภัณฑ์ชีวภาพและพลาสติกชีวภาพ ที่ผู้บริโภคมักใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่แล้วในชีวิตประจำวันเช่นกัน โดยได้เริ่มเดินหน้าผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว 3 กลุ่ม ได้แก่
Bio-Propylene หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ภาชนะ บรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกแข็ง ของเล่นเด็ก และชิ้นส่วนยานยนต์
Bio-Butadiene (Bio-BD) ที่มักใช้ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์และรองเท้ากีฬา
และ Bio-PTA (Purified Terephthalic Acid) สำหรับใช้ผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET
นอกจากนี้ ยังสามารถต่อยอดสู่เคมีภัณฑ์และพลาสติกชีวภาพอื่นๆ ได้อีกหลายชนิด หากตลาดมีความพร้อมและมีความต้องการมากขึ้นในอนาคตก็สามารถเดินหน้าผลิตได้ทันที เช่น Bio-PE สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ ขวด เครื่องใช้ในครัวเรือน และฟิล์มพลาสติก Bio-Propylene Oxide สำหรับอุตสาหกรรมโฟมเบาะรถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ และฉนวน Bio-Phenol สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล และ Bio-Benzene สำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน เคมีภัณฑ์ขั้นต้น และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งวัสดุชีวภาพเหล่านี้เป็นที่ต้องการอย่างสูงในตลาดโลก สะท้อนให้เห็นศักยภาพของโรงกลั่น Biorefinery แบบครบวงจรของ GC ที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมได้อย่างยืดหยุ่นและหลากหลาย
เห็นได้ชัดว่า การพัฒนาโรงกลั่นชีวภาพ หรือ Biorefinery ของ GC ไม่เพียงสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ GC แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินคาร์บอนต่ำในภูมิภาคอาเซียน ขณะเดียวกันยังต่อยอดมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบทางการเกษตร และของเหลือใช้ในครัวเรือน พร้อมส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนตามแนวทาง Circular Economy สอดคล้องกับทิศทางของโลกที่ขับเคลื่อนสู่ยุคคาร์บอนต่ำ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในความเป็นผู้นำของ GC ที่มองเห็นโอกาสเติบโตจากการสร้างนวัตกรรมที่แตกต่าง ส่งมอบโซลูชันเคมีภัณฑ์ครบวงจร ที่คาร์บอนต่ำแต่มีมูลค่าสูง พร้อมสร้างสรรค์โลกอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนสำหรับทุกคนได้อย่างแท้จริง