จากความสำเร็จในการขับเคลื่อนและพัฒนา ‘ดอยตุงโมเดล’ ตามแนวทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ เพื่อดูแลได้ครบทุกติติทั้งป่าไม้ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิต การศึกษา และเศรษฐกิจชุมชนของผู้คนและชุมชนในพื้นที่ ตามแนวทาง ‘ศาสตร์พระราชา’
ประกอบกับบริบทโลกปัจจุบันที่มีความตระหนักถึงปัญหาสภาพอากาศ (Climate Change) เพิ่มมากขึ้น ทำให้บทบาทของภาคป่าไม้เริ่มมีความสำคัญต่อการแผนการขับเคลื่อน Net Zero Pathway ทั้งในระดับประเทศ และภาคเอกชนรายใหญ่ที่มีแผนในการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านกลไก ‘คาร์บอนเครดิต’ เพื่อช่วยดูดซับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions) ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ส่งผลให้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีองค์ความรู้และเชี่ยวชาญการบริหารจัดการและพัฒนาป่าชุมชน โดยเฉพาะความสำเร็จจากดอยตุงโมเดลที่สามารถผลิตคาร์บอนเครดิตได้ถึงกว่าปีละ 4 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ( CO2e) มีความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดความสำเร็จไปสู่พื้นที่ป่าชุมชนทั้งประเทศที่มีอยู่ราว 7 ล้านไร่ทั่วประเทศ และเป็นโอกาสในการดึงให้ ‘คนและป่า’ เข้ามาอยู่ในสมการแห่งโอกาสนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ชุมชนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของทรัพยากรตัวจริง เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากกลไก Climate Finance และเป็นการสร้างแนวร่วมในการดูแลพื้นที่ป่าทั่วประเทศในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

ปรับโครงสร้างเพิ่มโอกาส Nature-based Solutions
คุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ Head of Nature-based Solutions and Special Projects มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อสอดคล้องกับบริบทและความเชี่ยวชาญที่มี โดยจากนี้จะเพิ่มการขับเคลื่อนภารกิจที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความยั่งยืน และเชื่อมโยงกับการดูแลฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ (Nature-based Solutions) เพื่อให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต รวมทั้งการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และอีกหนึ่งบทบาทในการเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนให้กับภาคเอกชนหรือองค์กร (ESG Incubation Partners) ที่ต้องการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืน เช่น การให้คำปรึกษาด้านการจัดการน้ำ การจัดการขยะ หรือการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net zero เพื่อสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกไปสู่วงกว้างได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ จากการปรับโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะมีภารกิจสำคัญที่ต้องขับเคลื่อนใน 4 มิติ ประกอบด้วย การพัฒนาเชิงพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างครบวงจร (โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ) โครงการธุรกิจเพื่อสังคม (แบรนด์กาแฟดอยตุง) และอีก 2 ภารกิจใหม่คือ งานด้านการฟื้นฟูธรรมชาติ และการเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจด้าน Nature-based Solutions ผ่านการทำงานร่วมกับพื้นที่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดล ‘คาร์บอนเครดิตที่มีชุมชนเป็นศูนย์กลาง‘ เพื่อตอบโจทย์การอนุรักษ์ป่าและดูแลความเป็นอยู่ของคนไปพร้อมกัน ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2564 ภายใต้มาตรฐาน T‑VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งปัจจุบันประสบความสำเร็จสามารถดึงภาคเอกชนมาร่วมโครงการ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณสะสมได้แล้วกว่า 500 ล้านบาท รวมทั้งสามารถส่งมอบคาร์บอนเครดิตให้แก่ภาคเอกชนในเฟสแรกได้แล้วกว่า 43,123 ตัน CO2e จากชุมชนที่เข้าร่วม 12 ชุมชน

“ในอนาคตงานด้าน Nature-based Solutions และการเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งช่วยสร้างรายได้ให้มูลนิธิฯ ได้ใกล้เคียงกับโมเดลเดิมที่เคยขับเคลื่อนอยู่ จากปัจจุบันรายได้หลักมาจากแบรนด์กาแฟดอยตุงราว 50% โครงการพัฒนาพื้นที่ดอยตุง 25% การสร้างคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน 20% และที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน 5% ซึ่งในอนาคตรายได้ของทั้งธุรกิจกาแฟ การพัฒนาพื้นที่ดอยตุง และคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ 30% และรายได้จากธุรกิจที่ปรึกษาที่ราว 10%”
สำหรับการขยายโมเดลการพัฒนาฯ มาจากการความต้องการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการ ‘ปลูกป่า ปลูกคน’ ณ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาโลก นำมาสู่การขยายผลเพื่อดูแลพื้นที่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานครอบคลุมพื้นที่ป่าชุมชนแล้วกว่า 287,000 ไร่ จากการดูแลของชุมชนกว่า 300 ชุมชน ใน 12 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง และใต้ ครอบคลุมประชาชนภายในพื้นที่รวมกว่า 150,000 คน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจมากกว่า 30 องค์กร ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเติมพื้นที่ป่าชุมชนเข้าร่วมโครงการ 33,000 ไร่ และขยายเพิ่ม 150,000 ไร่ ในปี 2569 โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่ให้ถึง 1 ล้านไร่ ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะครอบคลุมผู้ได้รับประโยชน์จากป่าชุมชนได้กว่า 5-7 แสนคน

รวมทั้งอีกหนึ่งตัวชี้วัดความสำเร็จนอกจากจำนวนพื้นที่ป่าชุมชนที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ทั้งป่าบก และป่าชายเลน ยังมีตัวชี้วัดสำคัญอย่าง การลดลงของปริมาณพื้นที่เสียหายจากไฟป่า โดยตัวเลขจากโครงการระยะที่ 1–2 ลดจากค่าเฉลี่ย 12% เหลือ 4% (พ.ศ. 2567) ส่วนระยะที่ 3 ลดจาก 8% เหลือ 3% สะท้อนประสิทธิภาพการดูแลป่าอย่างต่อเนื่องทั้งฤดูไฟและนอกฤดูไฟ
“การสร้างคาร์บอนเครดิตจากการพัฒนาป่าชุมชน จะช่วยเพิ่มแนวร่วมการดูแลและปกป้องป่าจากผู้คนในพื้นที่ ให้เห็นประโยชน์จากป่า และมีรายได้จากป่า เพื่อลดการสูญเสียพื้นที่ป่าในภาพรวม รวมทั้งเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน (Carbon Sink) เพื่อบรรลุ Net Zero ได้ตามนโยบายประเทศ นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์นอกเหนือจากแค่การได้คาร์บอนเครดิต แต่ยังเป็นการรักษาแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร ให้ผู้คนในชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากป่า พร้อมทั้งช่วยสร้างความหลากหลายทางธรรมชาติ (Biodiveesity) ซึ่งในอนาคต จะเป็นอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดด้านความยั่งยืนที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น และอาจเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ Biodiversity Credit หรือ Nature Credit ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคชุมชนจากกลไกทางการเงินยั่งยืน หรือ Climate Finance ขณะเดียวกันยังช่วยรักษาพื้นที่ป่าของประเทศ ไม้ให้ลดจำนวนลงจากการบุกรุกหรือถูกทำลายในอนาคต”

‘บ้านหัวทุ่ง’ โมเดลต้นแบบ ‘คาร์บอนเครดิตจากป่าสงวนชีวมณฑล’
ความสำเร็จของโครงการ ‘คาร์บอนเครดิตป่าชุมชน’ มาจากความสามารถในการดึงชุมชนมาเข้าร่วมขับเคลื่อน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะชุมชนถือเป็นเจ้าของพื้นที่และอยู่ใกล้ชิดป่าที่สุด รวมทั้งการพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ป่าชุมชนเพื่อเข้าไปดูแลฟื้นฟู
โดยได้สนับสนุนงบประมาณจากภาคีและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของแต่ละหมู่บ้าน ผ่านการจัดตั้ง 2 กองทุน ตามวัตุประสงค์ในการนำเงินไปใช้ ได้แก่ 1. กองทุนดูแลป่าเพื่อใช้ในกิจกรรมอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า และป้องกันและบรรเทาไฟป่าเช่น ทำแนวกันไฟ ลาดตระเวน สร้างฝายชะลอน้ำ ปลูก‑ฟื้นฟูป่า และ 2. กองทุนพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ทั้งการพัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต หรือการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตภายในชุมชนได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งมูลนิธิฯ ได้นำจ่ายสำหรับ 2 กองทุนหมุนเวียนแล้วกว่า 157 ล้านบาท พร้อมติดตามการดำเนินงานเพื่อความโปร่งใส รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ โดยทางมูลนิธิฯ ทำหน้าที่พี่เลี้ยงด้านมาตรฐาน การติดตาม‑ตรวจวัด (Measurement, Reporting and Verification: MRV) และธรรมาภิบาล ทำให้การดูแลป่ากลายเป็นอาชีพสุจริตที่ยกคุณภาพชีวิตคนและต่ออายุป่า
‘ชุมชนบ้านหัวทุ่ง’ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งพื้นที่ตัวอย่างสะท้อนความสำเร็จของการพัฒนาการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในฐานะชุมชนต้นแบบในพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว และแหล่งกำเนิด ‘น้ำออกฮู’ สายน้ำย่อยของแม่น้ำปิง

ชุมชนแห่งนี้เข้าร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตั้งแต่ปี 2565 โดยดูแลป่าชุมชน 883.93 ไร่ จนเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน ภายใต้การนำของ ‘แม่หลวงศิริวรรณ ศรีเงิน’ ผู้นำชุมชนสตรีที่รวบรวมพลังคนทุกวัย สร้างโครงสร้างบทบาทและธรรมาภิบาลที่ชัดเจนในชุมชน ทั้งการตั้งกติกาการใช้ประโยชน์ป่า จัดเวรยามลาดตระเวน ทำแนวกันไฟ และเก็บข้อมูลแปลงตัวอย่างร่วมกับทีมเทคนิค ทำให้ป่าฟื้นตัวต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงไฟป่าอย่างมีนัยสำคัญ และยกระดับความมั่นคงของระบบนิเวศต้นน้ำ ซึ่งคนทั้งลุ่มน้ำปิงได้รับประโยชน์ร่วมกัน
จุดเด่นของบ้านหัวทุ่งคือ รายได้ไม่ได้มาจากการบุกรุกป่า แต่มาจากการดูแลป่า และการต่อยอดภูมิปัญญา และนำเงินสนับสนุนจากกองทุนมาต่อยอดการจ้างงานดูแลป่า และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรอย่างน่าทึ่ง อาทิ การนำเศษไม้ไผ่เหลือใช้จากงานจักสาน มาเผาเป็นถ่าน และพัฒนาต่อเป็นก้อนดับกลิ่น ที่ดันทรงรองเท้า สบู่ และยาสีฟัน สร้างรายได้เสริมแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสในชุมชน

นอกจากนี้ ยังได้ขยายผลไปสู่หมู่บ้านข้างเคียงอีก 5 หมู่บ้าน โดยการถ่ายทอดทักษะอาชีพหลากหลาย ทั้งการเพาะเห็ด เลี้ยงผึ้ง อาหารพื้นถิ่น และงานจักสาน ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นเส้นทางอาชีพในบ้านเกิดโดยไม่ต้องเบียดเบียนป่า และเกิดความภาคภูมิใจร่วมกันในฐานะ ‘ผู้พิทักษ์ต้นน้ำ’
ในมุมสิ่งแวดล้อม : ผลลัพธ์ของบ้านหัวทุ่งและเครือข่ายชี้ชัดว่าการป้องกันเชิงรุกทำให้ไฟป่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงลดความเสี่ยง PM2.5 จากไฟป่าและการสูญเสียคาร์บอนกักเก็บ ป่าที่ฟื้นตัวช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและบริการระบบนิเวศสำคัญ เช่น การซึมซับน้ำฝน การลดการพังทลายของดิน และการรักษาต้นทุนคุณภาพน้ำของประเทศ เมื่อป่าต้นน้ำแข็งแรง เศรษฐกิจฐานทรัพยากรที่พึ่งพาน้ำก็มั่นคงขึ้น ทั้งต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และเมืองปลายน้ำที่ต้องการน้ำประปาคุณภาพ ซึ่งคือประโยชน์สาธารณะของคนทั้งประเทศไม่ใช่เฉพาะผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต

ในมุมเศรษฐกิจของชุมชน : คาร์บอนเครดิตเป็นแรงจูงใจที่ยุติธรรม มากกว่าจะเป็นเพียงเครื่องมือชดเชยคาร์บอนของธุรกิจ เพราะหลังจาก 3 ปีแรก ที่เข้าไปดูแลฟื้นฟูป่า จะสามารถทำการตรวจวัด ประเมิน ปริมาณคาร์บอนเครดิตที่สร้างได้ ภายใต้การประเมินและทวนสอบภายใต้มาตรฐาน T‑VER ซึ่งปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจะคำนวณเป็นรายได้ของชุมชน ในอัตราตันละ 300 บาทต่อไร่ รวมทั้งในระหว่างการดูแลรักษาป่าช่วง 1-3 ปีแรกก็จะมีการจ่ายค่าดูแลรักษาป่าในอัตรา 300 บาทต่อปีต่อไร่ โดยสมทบเข้ากองทุนดูแลป่าของหมู่บ้าน
โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแสดงให้เห็นภาพใหญ่ที่สังคมไทยกำลังมองหารูปธรรมของคาร์บอนเครดิตที่ยึดโยงกับชีวิตคนในชุมชน ปกป้องต้นน้ำ สร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และส่งมอบอากาศและน้ำที่ดีให้คนทั้งประเทศ ‘บ้านหัวทุ่ง’ จึงมิใช่เพียงตัวอย่างความสำเร็จของป่าชุมชนเชียงดาว หากเป็นเครื่องยืนยันว่าเมื่อกติกาและแรงจูงใจถูกออกแบบให้เป็นธรรม คาร์บอนเครดิตก็จะกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างป่าที่สมบูรณ์ สังคมที่เท่าเทียม และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน จนก่อให้เกิด Total Well-being ได้อย่างแท้จริง







