ประกาศความสำเร็จการเป็น ‘ศูนย์การค้าแห่งแรกของประเทศไทย’ ที่สามารถลดปริมาณขยะฝังกลบจากกว่า 2 หมื่นตันต่อปีให้กลายเป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ผ่านการจับมือร่วมกับพันธมิตรขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อส่งต่อขยะแต่ละประเภทให้นำไปสร้างประโยชน์ต่อแบบจับต้องได้ จนสามารถปักหมุดความสำเร็จในฐานะ ‘ศูนย์การค้า Zero Waste’ ได้อย่างแท้จริง
ดร.พรต ซอโสตถิกุล รองกรรมการผู้จัดการ สำนักปฏิบัติการ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ และซีคอน บางแค กล่าวถึงความสำเร็จครั้งสำคัญของโครงการ ‘Seacon Zero Waste : จากขยะ สู่พลังงาน สร้างอนาคตสะอาด’ ในฐานะ ‘ศูนย์การค้าไทยรายแรก’ ที่สามารถบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร ได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ หลังเริ่มต้นคัดแยกขยะอย่างจริงจังเมื่อราว 3 ปีก่อน สู่การเป็นต้นแบบด้านความยั่งยืนให้ทั้งกลุ่มศูนย์การค้า ภาครัฐ เอกชน ไปจนถึงภายในองค์กรและชุมชนต่างๆ พร้อมช่วยยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมให้อุตสาหกรรมค้าปลีกไทย

โครงการ Seacon Zero Waste ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมค้าปลีก เพื่อลดขยะฝังกลบให้เหลือศูนย์อย่างยั่งยืนได้ทั้งระบบ ตั้งแต่การปลูกฝังค่านิยมให้พนักงาน – ร้านค้า การออกแบบพื้นที่แยกขยะที่ใช้งานง่ายสำหรับลูกค้า ไปจนถึงการแปรรูปขยะกลับมาเป็นทรัพยากรและพลังงาน ซึ่งไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างพฤติกรรมใหม่ให้สังคมเดินหน้าไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างแท้จริง และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
“กลุ่มซีคอนฯ ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยเป็นศูนย์การค้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ผลิตจากแผงโซลาร์มากที่สุดในประเทศไทย ด้วยปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้รวมกันราว 10 .5 เมกะวัตต์ จากซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ราว 7 เมกะวัตต์ และซีคอน บางแคประมาณ 3.5 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% จากปริมาณไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ภายในศูนย์ ช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้กว่า 40 ล้านบาทต่อปี ก่อนจะต่อยอดมาสู่การแยกขยะภายในศูนย์ เพื่อลดปริมาณขยะที่ต้องทิ้งสู่หลุมฝังกลบจากทั้ง 2 ศูนย์ ที่มีปริมาณรวมกันกว่า 2 หมื่นตันต่อปี แต่ปัจจุบันไม่มีปริมาณขยะที่ต้องทิ้งลงบ่อฝังกลบแล้ว ซึ่งนอกจากลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะของศูนย์แล้ว ยังสามารถช่วย กทม. ประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะลงได้กว่า 20 ล้านบาทอีกด้วย”

ปักหมุดศูนย์การค้า Zero Waste แห่งแรกของประเทศ
ปัจจุบันทั้ง 2 ศูนย์ของกลุ่มซีคอนฯ ทั้งซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ และซีคอน บางแค สามารถปักหมุดสู่ ศูนย์การค้า Zero Waste ได้อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการแยกและจัดการขยะ 3 ประเภทหลัก ร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญการจัดการขยะแต่ละประเภท โดยขยะส่วนใหญ่ราว 50% เป็นกลุ่มขยะอินทรีย์และขยะอาหาร ได้ส่งมอบให้ทางมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ หรือ SOS Thailand เพื่อส่งต่ออาหารส่วนเกินให้ผู้ที่มีความต้องการนำไปใช้ประโยชน์ต่อ ส่วนที่เป็นขยะเศษอาหาร ผักผลไม้ ได้ประสานงานผ่านเครือข่ายชุมชนโดยรอบ เพื่อนำไปให้เกษตรกรสำหรับเลี้ยงปลา หรือนำไปทำน้ำหมัก และปุ๋ยอินทรีย์เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ในการทำเกษตร

นอกจากนี้ ยังมี ขยะที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เช่น พลาสติก กระดาษ ขวดแก้ว เหล็ก มีสัดส่วนประมาณ 10% ได้แยกประเภทและนำไปขายให้กับกลุ่มพันธมิตรที่เข้ามารับซื้อ เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลตามระบบ ช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่ในการผลิตวัสดุแต่ละประเภทลงได้ ส่วนอีก 40% จะถูกส่งไปเป็นพลังงานเชื้อเพลิงอุตสาหกรรม (RDF) เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับโรงงานที่ต้องการเชื้อเพลิงพลังงานสูง
ทำให้ ขยะทั้งหมดของซีคอนฯ มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบทุกประเภท และไม่เหลือปริมาณที่ต้องนำไปฝังกลบโดยสมบูรณ์ รวมทั้งยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บขยะจากเดิมที่มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 6 หมื่นบาท ซึ่งหากไม่มีการแยกขยะอาจจะต้องเสียในอัตราใหม่ตามที่ กทม. ปรับเพิ่มมาอยู่ที่ราวกว่า 2 แสนบาทต่อเดือน แต่ปัจจุบันซีคอนเสียค่าจัดการขยะให้ กทม. ราว 5,000 บาทเท่านั้น สำหรับการจัดการขยะอันตรายต่างๆ เช่น หลอดไฟ หรือกระป๋องสี ซึ่งเป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องมีการกำจัดอย่างปลอดภัยตามระบบ เพื่อป้องกันสารเคมี หรือสารพิษต่างๆ หลุดรอดปะปนไปในธรรมชาติและเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมได้

“การขับเคลื่อนโครงการมาตลอด 3 ปี ทำให้ซีคอนฯ สามารถลดปริมาณขยะฝังกลบได้มากกว่าปีละ 2 หมื่นตัน พร้อมลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนลงได้ 2.4 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 2.5 แสนต้น รวมทั้งสามารถต่อยอดการนำปริมาณขยะประเภทต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ทดแทนการฝังกลบ ทั้งขยะอินทรีย์ 3.6 ล้านกิโลกรัม (หลังคัดแยกน้ำ และส่วนของอาหารที่ยังรับประทานได้) ขยะรีไซเคิล 1.7 แสนกิโลกรัม และขยะเชื้อเพลิง RDF 2.7 แสนกิโลกรัม ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวมาจากความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งร้านค้าและพนักงานภายในศูนย์ รวมทั้งลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ที่ให้ความร่วมมือคัดแยกขยะก่อนทิ้งตั้งแต่ต้นทาง”
ความสำเร็จในการดำเนินโครงการ เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงพันธมิตรด้านการจัดการขยะ อาทิ กรุงเทพมหานคร, กลุ่มบริษัท เบตเตอร์ กรุ๊ป, บริษัท อินโนเวสท์ จำกัด, บริษัท ส.พัฒนา เปเปอร์ จำกัด, บริษัท เวสท์บาย เดลิเวอรี่ จำกัด, มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ ตลอดจนเครือข่ายชุมชนโดยรอบ รวมถึงร้านค้าภายในศูนย์ฯ ที่ร่วมกันขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ดร. พรต เล่าถึงความท้าทายในการขับเคลื่อนโครงการช่วงแรก อยู่ที่การปรับ MIndset ของร้านค้าต่างๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง พร้อมทั้งจูงใจด้วยการจัดกิจกรรมสะสมแต้มเพื่อแลกของรางวัลพิเศษ รวมทั้งการมอบใบประกาศ ให้ทางร้านค้าต่างๆ ที่เข้าร่วมโปรแกรมคัดแยกขยะ ซึ่งเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ ให้ร้านได้อีกทางหนึ่ง เพื่อสร้างความร่วมมือและสร้างความต่อเนื่องในการปฏิบัติ จนนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ในที่สุด
ขณะที่ในส่วนของศูนย์เอง ก็มีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ ภายในศูนย์เพื่อรองรับการขับเคลื่อน เช่น เปลี่ยนถังขยะภายในศูนย์ ให้สามารถแยกประเภทของขยะที่จะทิ้ง รวมทั้งการเปลี่ยนกระดาษชำระภายในห้องน้ำให้เป็นแบบย่อยสลายได้เพื่อสามารถทิ้งลงไปในชักโครก ช่วยลดปริมาณขยะกระดาษชำระที่มีกว่าวันละ 700- 800 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นขยะติดเชื้อ และไม่สามารถส่งไปผลิตเชื้อเพลิง RDF ได้ รวมไปถึงการมีนโยบายให้ร้านค้าภายในศูนย์ที่มีรวมกันกว่า 400 ร้าน ต้องมีการคัดแยกขยะและบริหารจัดการขยะภายในร้านได้อย่างเป็นระบบ เป็นต้น

เดินหน้าทำงานเชิงรุก มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวก
หลังบรรลุ Milestones สำคัญ ทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และลดปริมาณขยะฝังกลบเป็นศูนย์ การขับเคลื่อนของซีคอนฯ จากนี้ จะเน้นทำงานเชิงรุกมากขึ้น เพื่อเพิ่มการสร้างผลกระทบเชิงบวกจากการดำเนินธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของพลังงานสะอาดจะเพิ่มการลงทุนราว 50 ล้านบาท เพื่อติดตั้งแผงโซลาร์เพิ่มเติม ที่ซีคอน บางแคในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้อีกราว 1-2 เมกะวัตต์
รวมทั้งในอนาคต มีแผนลงทุนเพื่ออัพเกรดประสิทธิภาพของแผงโซลาร์ในการผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มมากขึ้น หลังใช้งานได้ราว 15 ปี เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีในอนาคตที่ทำให้ต้นทุนการติดตั้งถูกลง และประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น เพื่อสามารถเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานสะอาดภายในศูนย์ได้มากขึ้น ส่วนแผงที่ปลดระวางซึ่งยังมีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้เป็นอย่างดี ก็สามารถนำไปสร้างประโยชน์ให้พื้นที่ห่างไกลอื่นๆ ที่มีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อสร้างประโยชน์ได้อีกทางหนึ่ง ทั้งในมิติของการส่งเสริมด้านการศึกษา หรือการส่งเสริมอาชีพให้คนในท้องถิ่น เป็นต้น

ขณะที่การพัฒนาด้านการจัดการขยะภายในศูนย์ จะเพิ่มประสิทธิภาพในการแยกขยะให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อสามารถเพิ่มสัดส่วนปริมาณขยะที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้เพิ่มขึ้น และลดสัดส่วนขยะที่จะนำส่งไปเผาเป็นเชื้อเพลิง RDF ให้ลดน้อยลง เพื่อสร้างประโยชน์และสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนได้มากขึ้น พร้อมทั้งเดินหน้าขยายผลโครงการ Zero Waste ไปยังมิติอื่นในอนาคต เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ด้านความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย พร้อมบทพิสูจน์ความสำเร็จที่สามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการลดต้นทุนด้านพลังงานและการบริหารจัดการต่างๆ ภายในศูนย์ รวมทั้งผลกระทบเชิงบวกจากการขับเคลื่อนโครงการที่ถูกส่งต่อไปยังชุมชนรอบข้าง และผู้คนในสังคม
การขับเคลื่อนของกลุ่มศูนย์การค้าซีคอนฯ และพันธมิตรทุกฝ่าย สะท้อนให้เห็นว่า การขับเคลื่อนสู่ธุรกิจ ‘Zero Waste’ นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การมีนโยบายที่สวยหรู แต่ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริงได้ เพราะหากมีความุ่งมั่น และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นระบบ ก็สามารถขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายและสามารถจับต้องผลลัพธ์และความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม







