ExperienceTop Stories

TCP Spirit เปิดห้องเรียนธรรมชาติ ‘อาสา อา Guard’ พาเยาวชนเรียนรู้​ ‘คาร์บอนเครดิตในป่าชุมชน’ กลไกช่วยดูดซับ​คาร์บอน พร้อมเติมความหลากหลายให้ธรรมชาติ

ค่ายอาสา 'TCP Spirit อาสา อา Guard' ในปีนี้ พาอาสาสมัครเรียนรู้ปัญหาสภาพอากาศในมิติต่างๆ ทั้งการตรวจวัดคาร์บอนเครดิตจากป่า และการดูแลป่าชุมชน เจาะลึกบริบทการทำเกษตรชุมชน เพื่อเข้าใจหลักการสร้างระบบนิเวศที่คน ชุมชน และธรรมชาติเติบโตไปด้วยกัน

เปิด ‘ห้องเรียนธรรมชาติ’ ​อีกครั้ง สำหรับ  ‘TCP Spirit’ โครงการอาสาภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP เพื่อร่วมปลุกพลังคนรุ่นใหม่ สร้างเครือข่ายร่วมดูแลอากาศและสิ่งแวดล้อม ​โดยปีนี้ได้จัดกิจกรรม ‘ค่ายอาสา TCP Spirit อาสา อา Guard’ แคมป์ปิ้งฮิมดอยเชียงดาว เรียนเรื่องราวป่าชุมชน ณ ตำบลเมืองแหง อำเภอเมืองแหง จังหวัดเชียงใหม่

เพื่อเข้าใจ​ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เรียนรู้เรื่องการตรวจวัดคาร์บอนเครดิตจากป่าและการดูแลป่าของชุมชน เจาะลึกบริบทการทำการเกษตรของชุมชน เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการจัดการปัญหา ร่วมกันสร้าง Guard ในการปกป้องโลกใบนี้ไปด้วยกัน สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของกลุ่มธุรกิจ TCP ในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050

5 ภารกิจ  ​เรียนรู้ การดูแลป่าชุมชน 

กิจกรรมในปีนี้ ได้พาไปสำรวจ ‘ป่าชุมชน’ 2 พื้นที่ ใน จ.เชียงใหม่ ได้แก่​ ป่าชุมชนบ้านป่าไผ่​  อ. เวียงแหง และ ชุมชนบ้านผาลาย​ อ. เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่มธุรกิจ TCP เข้าไปดูแลร่วมกับ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ องค์กรที่เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูป่าและชุมชน รวมถึงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสร้างระบบนิเวศที่คน ชุมชน และธรรมชาติเติบโตไปด้วยกัน

พื้นที่เหล่านี้ กลุ่มเยาวชนอาสาทุกคนจะได้เข้าใจถึงปัญหาสภาพอากาศรอบตัว ทั้งฝุ่น PM2.5 ​ปัญหาน้ำท่วม–น้ำแล้งที่รุนแรงขึ้น และแนวทางการฟื้นฟูผ่านแนวคิด Nature-based Solutions ที่ใช้พลังของธรรมชาติมาช่วยเยียวยาโลก ตามแนวคิด ‘อาสา อา Guard’ เพื่อแสดงถึงความร่วมมือของเหล่า ‘อาสา’ เพื่อการดูแล​ ‘อากาศ’ หรือการเป็น Guard​ ​ในฐานะผู้พิทักษ์อากาศ ที่พร้อมร่วมมือกันปกป้องโลกให้ปลอดภัยและยั่งยืน

เหล่าอาสาจะได้เรียนรู้เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญและปราชญ์ชาวบ้าน อาทิ ดร. เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ และนักอนุรักษ์แนวหน้าของประเทศไทย และ คุณสุดารัตน์ โรจน์พงศ์เกษม ผู้อำนวยการฝ่าย Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ​​ผ่านห้องเรียนธรรมชาติและการลงปฏิบัติจริงในพื้นที่ ผ่าน 5 ภารกิจหลัก ได้แก่

– ภารกิจวิกฤตโลกรวน 101 เรียนรู้ปัญหาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผลกระทบต่อชีวิตและโลก พร้อมหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์

– ภารกิจพลังธรรมชาติ การทำความเข้าใจถึงแนวทางแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติ เช่น การฟื้นฟูป่า การจัดการน้ำ และการใช้ระบบนิเวศลดภัยพิบัติ พร้อมสัมผัสพลังของธรรมชาติ

– ภารกิจ Climate Triforces การเรียนรู้ 3 กลไกรับมือวิกฤตและลงมือปฏิบัติจริง อาทิ การวางแปลงตัวอย่าง (Carbon Credit)

– ภารกิจอาสาป้องกันไฟ การลงพื้นที่ร่วมกับชุมชนเพื่อจัดการพื้นที่เสี่ยงไฟป่า ทั้งการกำจัดวัชพืช และการสร้างแนวกันไฟ

– ภารกิจนักสืบคาร์บอนในดิน การสำรวจผลกระทบทรัพยากรและการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเกษตร ร่วมกับการแลกเปลี่ยนความรู้กับชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่อง ‘รอยเท้าคาร์บอน’ (Carbon Footprint) และวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตโลกเดือด

กลุ่มธุรกิจ TCP ผนึกแม่ฟ้าหลวงฯ ลดคาร์บอนด้วย Nature-based 

คุณสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า กิจกรรม TCP Spirit ‘อาสา อา Guard’ ครั้งนี้ ไม่ใช่​เพียงค่ายเรียนรู้ธรรมชาติ แต่เป็​นพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจสิ่งแวดล้อม เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการลงมือคิด ลงมือทำจริง และส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคนร่วมดูแลโลกไปด้วยกัน เพราะเชื่อว่า ‘พลังของคนรุ่นใหม่’ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สังคมเติบโตอย่างสมดุล และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคนได้จริง สอดคล้องเป้าหมายของกลุ่มธุรกิจ TCP ในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2จถจ​

“การบริหารจัดการป่าชุมชน ทำให้​ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต เป็นหนึ่งในโซลูชั่นลดก๊าซเรือนกระจก​ของกลุ่ม TCP ในฟากของการชดเชย (Offset) ปริมาณคาร์บอน​​ ควบคู่ไปกับการลดปริมาณคาร์บอนจากการดำเนินธุรกิจ (Carbon Reduction) ซึ่ง TCP จะขับเคลื่อนทั้งการพัฒนาเทคโนโลยี การยกระดับประสิทธิภาพในการผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการพลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน รวมทั้งการขับเคลื่อนผ่าน Nature-based Solutions ด้วยการส่งเสริมการดูแลป่าชุมชนจำนวน 6,000 ไร่ ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภายใต้งบประมาณเบื้องต้นในช่วง 3 ปีแรก จำนวน 17 ล้านบาท ​ซึ่งนอกจากจะได้รับคาร์บอนเครดิตจากโครงการแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งกลไกในการช่วยกระจายรายได้ให้แก่ชุมชน พร้อมทั้งการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ชุมชนในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย” 

คุณสุดารัตน์ โรจน์พงศ์เกษม ผู้อำนวยการฝ่าย Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ​โครงการป่าชุมชนของแม่ฟ้าหลวงฯ จะเปิดโอกาสให้ชุมชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลบริหารจัดการป่าชมุชน ผ่านการจัดต้ัง 2 กองทุนหลักในชุมชน ​ทั้งเพื่อการดูแลรักษาป่าชุนชน และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและอาชีพของคนในชุมชน โดยจะพิจารณาจากแผนของทั้งสองกองทุนเพื่อพิจารณาอนุมัติงบให้ทางชุมชนนำไปบริหารจัดการ จึงทำให้ทิศทางในการขับเคลื่อนจะมีความสอดคล้องกับบริบทและความต้องการที่เกิดจากคนในชุมชนอย่างแท้จริง

“โครงการนี้จึงถือว่าเป็น Win Win WIn Solutions ทั้งภาคเอกชนที่ได้คาร์บอนเครดิตเพื่อนำไปชดเชยในธุรกิจ ภาคชุมชนที่ได้รับทุนในการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาพื้นที่และความเป็นอยู่ รวมทั้งยังช่วยลดงบประมาณภาครัฐในการพัฒนาท้องถิ่น โดย​ปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการเบื้องต้นได้กำหนดไว้อย่างน้อย 0.3 ตันต่อไร่ แต่หากสามารถบริหารจัดการป่าชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจสามารถส่งมอบให้ทางภาคเอกชนได้มากกว่าที่กำหนดไว้ ขณะที่การส่งเสริมอาชีพในชุมชน จะสอดคล้องไปกับทักษะ หรือทรัพยากรธรรมชาติภายในพื้นที่ เพื่อสามารถนำมาต่อยอดให้เกิดประโยขน์ได้สูงสุด”​

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ TCP ได้ขยับเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนสู่ Net Zero ​ได้เร็วขึ้น ภายในปี 2050​ จากเดิมตั้งเป้าหมายไว้ที่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) พร้อม​ตั้งเป้า​ลดก๊าซเรือนกระจกทั้ง 3 สโคป ให้ได้ 26% ภายในปี 2030 จากปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์ในปีฐาน​ 2022 โดยการลดในสโคป 1 และ 2 ผ่านการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ทั้งการใช้รถขนส่ง HEV/EV 26% ,เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน (Renewable) 68%, เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน 30% พร้อมพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสีย โดย​จะทยอยเพิ่มสัดส่วนรถ EV และไฮโดรเจน รวมทั้งการใช้พลังงานหมุนเวียนในธุรกิจให้ได้ทั้ง 100% ภายในปี 2050

ส่วนการลดในสโคป 3 ​จะเน้น​การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ทั้งการพัฒนาให้สามารถรีไซเคิลได้ทั้ง 100% การลดน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลาสติก PCR  รวมทั้งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของพันธมิตร โดยเฉพาะในพันธมิตรรายหลัก​ราว 50% ภายในปี 2033 และสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านได้ทั้งหมด เพื่อช่วยให้พันธมิตรบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือบรรลุ Net Zero ร่วมกันได้ภายในปี 2050

คาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนจะเป็นหนึ่งกลไกในการช่วยชดเชยได้ราว 10%  ขณะที่ทางกลุ่ม TCP ยังมองหาการพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต รวมทั้งการส่งเสริมความยั่งยืนในมิติอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งการดูแลรักษาแหล่งน้ำ และการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาสภาพอากาศ และขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ รวมทั้งการผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรตลอดทั้งห่วงโซ่ธุรกิจเพื่อสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายเพื่อสานต่อ​แนวคิด ‘การเติบโตอย่างยั่งยืน’ ผ่าน​พลังของคนรุ่นใหม่ จากการเรียนรู้และลงมือทำ เพื่อสร้างให้เกิดเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ​โดยมีพลังของอาสา ​TCP Spirit​ เป็นหนึ่งการตอกย้ำเป้าหมายของกลุ่มธุรกิจ TCP ในการ ‘ปลุกพลัง เพื่อวันที่ดีกว่า’ ให้เกิดขึ้นจริง ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม คุณสราวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย