กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมกับ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงจากสารเคมีในสินค้าฟาสต์แฟชั่น ผ่านรายงาน ‘จากโรงงานสู่ตู้เสื้อผ้า : ความเสี่ยงของสารเคมีในอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น‘ (From Factory to Closet: The True Cost of Ultra Fast Fashion)
รายงานฉบับนี้ ‘กรีนพีซ ประเทศไทย‘ เผยแพร่ในเดือนธันวาคม 2025 ผลการศึกษาตรวจพบการปนเปื้อนสารเคมีอันตรายหลายชนิดในเสื้อผ้าที่สั่งซื้อจากแพลตฟอร์มออนไลน์ของ SHEIN แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดโลก
การวิเคราะห์อ้างอิงตามกรอบกฎหมายสารเคมีสากลของสหภาพยุโรป หรือ REACH (Registration, Evaluation, Authorisation and Restriction of Chemicals) ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินระดับสารเคมีอันตรายที่ตรวจพบในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ
ผลการตรวจวิเคราะห์เสื้อผ้าของ SHEIN ที่กรีนพีซ ประเทศไทยเป็นผู้สั่งซื้อ พบการปนเปื้อนของสารเคมีอันตรายหลายชนิด ได้แก่
– PFAS (Per- and Polyfluoroalkyl Substances) หรือ ‘สารเคมีตลอดกาล’ (Forever Chemicals) ที่เชื่อมโยงกับโรคมะเร็งและความผิดปกติของระบบฮอร์โมน โดยในเสื้อแจ็คเก็ตพบค่า PFAS สูงกว่าเกณฑ์ REACH ถึง 519 เท่า
– แคดเมียม ที่เกินค่ามาตรฐาน 1.2 เท่า ในรองเท้าผู้หญิง
– โลหะหนักแอนทิโมนี (Antimony: Sb) หรือ พลวง สารพทาเลต (Phthalates) และ สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในเสื้อผ้าเด็ก

นอกจากนี้ สินค้าส่วนใหญ่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนประกอบหรือมาตรฐานความปลอดภัย จึงทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถประเมินความเสี่ยงก่อนซื้อได้ อีกทั้งประเทศไทยยังไม่มีระบบกำกับดูแลและกฎหมายควบคุมสารเคมีในสิ่งทอ ส่งผลให้สินค้าฟาสต์แฟชั่นที่มีความเสี่ยงสูงสามารถเข้าสู่ตลาดไทยได้โดยแทบไม่มีการตรวจสอบที่เหมาะสม
กรีนพีซ ประเทศไทย ระบุในผลศึกษา ชี้ให้เห็นว่าปัญหาสารเคมีในเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่น เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดจากการขาดมาตรฐานด้านสารเคมีในสิ่งทอ ระบบตรวจสอบสินค้านำเข้า และการขยายตัวของตลาดออนไลน์ที่ไม่มีกรอบกำกับดูแลเพียงพอ ช่องโหว่เหล่านี้ทำให้เสื้อผ้าที่มีความเสี่ยงสูงสามารถเข้าสู่ตลาดไทยได้ง่ายกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่เพียงกระทบผู้บริโภคในวันนี้ แต่ยังสะสมเป็นปัญหาสุขภาพในระยะยาวต่อสังคมไทยโดยรวม
โดยระบุวัตถุประสงค์ในการทำรายงาน เพื่อผลักดันให้ภาครัฐจัดทำ ‘กฎหมายควบคุมการใช้สารเคมีในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม‘ ให้มีมาตรฐานและปกป้องสุขภาพประชาชน แรงงานและสิ่งแวดล้อมจากความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้ผลิต เจ้าของแบรนด์ และผู้นำเข้าเปิดเผยการใช้สารเคมีอย่างโปร่งใส (Transparency) และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability)
ขณะเดียวกันเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตระหนักถึงสิทธิในการรับรู้ข้อมูล เกี่ยวกับกระบวนการผลิตและสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเสื้อผ้าซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และสิ่งแวดลอ้ม
ผศ.ดร.วีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา อนุกรรมการด้านสินค้าและบริการทั่วไป สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าว่า รายงานฉบับนี้ตอกย้ำว่าผู้บริโภคไทยยังขาดหลักประกันด้านความปลอดภัยจากสินค้าที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่มีความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย ภาครัฐจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกกฎหมายควบคุมสารเคมีในสิ่งทอ กำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน และสร้างระบบเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส เพราะการเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นคือสิทธิของผู้บริโภค ผู้บริโภคต้องมีสิทธิที่จะรู้ว่าสินค้าที่ตนซื้อมีความปลอดภัยเพียงใด และต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้อย่างมั่นใจในชีวิตประจำวัน
พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้บริโภคกำลังรับภาระความเสี่ยงจากสารเคมีอันตรายในเสื้อผ้าเพียงฝ่ายเดียว เพราะประเทศไทยยังไม่มีกรอบกฎหมายที่ครอบคลุมสารเคมีในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มอย่างครอบคลุม ไม่มีระบบตรวจสินค้านำเข้า และไม่มีการบังคับเปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภค ความเสี่ยงจาก PFAS พทาเลต และสารอันตรายอื่นๆ จึงยังคงถูกปล่อยให้หลุดรอดเข้าสู่ชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างง่ายดาย รัฐจำเป็นต้องเร่งพัฒนากฎหมายและระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับการคุ้มครองตามสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัย
ท้ังนี้ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสารเคมีอันตรายในเสื้อผ้าและต้นทุนที่ซ่อนอยู่ในระบบฟาสต์แฟชั่น กรีนพีซ ประเทศไทยจัดนิทรรศการ ‘KILLER LOOKS TOXIC FIT CHECK: สวยจะตาย’ ถ่ายทอดข้อมูลจากรายงานผ่านงานจัดแสดงที่นำเสนอความเสี่ยงจากสารเคมีในเสื้อผ้าจากแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น พร้อมกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้และลงมือทำจริง รวมทั้งวงเสวนาว่าด้วยแฟชั่น การบริโภค และสิทธิในการรับรู้ข้อมูลที่ผู้บริโภคควรเข้าถึง

เสนอแนะนโยบายแก้ปัญหา ทั้งต่อภาครัฐ ผู้ผลิต และผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุถึงเหตุผลที่เลือกศึกษาผ่านแบรนด์ SHEIN เพราะเป็นแบรนด์สินค้าแฟชั่นออนไลน์ที่เติบโตและได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในกลุ่ม ‘Ultra-Fast Fashion’ ซึ่งหมายถึงรูปแบบธุรกิจแฟชั่นที่ใช้การผลิตที่รวดเร็วเพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคโดยไม่อิงตามฤดูกาลและราคาไม่แพง
แม้ SHEIN จะมีแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนตามโรดแม็พ ‘evoluSHEIN Roadmap‘ ที่คำนึงถึงผู้คนและแรงงานภายในห่วงโซ่อุปทาน การปกป้องธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งการออกแบบระบบการผลิตที่หมุนเวียนและลดปริมาณของเสีย แต่ด้วยลักษณะการผลิตที่มีความถี่สูง ปริมาณการผลิตมหาศาลและราคาต่ำ จึงถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
กรีนพีซ ประเทศไทย ได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายไว้ท้ายการศึกษา ทั้งข้อเสนอต่อภาครัฐ ที่ระบุให้พัฒนากฎหมายหรือมาตรการ ควบคุมการใช้สารเคมีอันตรายตามแนวทาง ‘ผู้ผลิตที่รับผิดชอบ‘ ผ่านการกำหนดค่ามาตรฐานกลางสำหรับสารเคมีอันตรายและมีความเสี่ยงสูง พร้อมกำกับดูแลตลอดห่วงโซ่อุปทาน และมีการส่งเสริมระบบการซ่อมแซมเสื้อผ้าและผู้ประกอบการรายย่อย เช่น ช่างเย็บผ้าและร้านซ่อมแซมเสื้อผ้า ผ่านการอบรมทักษะ เงินช่วยเหลือ และการเข้าถึงตลาดที่เป็นธรรม เป็นต้น
ขณะที่ผู้ผลิต เจ้าของแบรนด์ และผู้นำเข้า ได้รณรงค์ให้ยุติการใช้สารเคมีอันตราย พร้อมเปิดเผยข้อมูลการใช้สารเคมีที่ใช้ในการผลิตอย่างโปร่งใส รวมทั้งการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ภายในห่วงโซ่อย่างโปร่งใส และการอบรมแรงงานในโรงงานให้มีความรู้ ความเข้าใจ ในการป้องกันและจัดการการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ ได้สนับสนุนให้มีการประกาศใช้กฎหมาย ‘การขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตสิ่งทอ’ (EPR : Extended Producer Responsibility for Textile) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ โดยกลุ่มผู้ผลิตสามารถริเริ่มได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีการบังคับจากภาครัฐ
ที่สำคัญ สำหรับผู้บริโภคในฐานะผู้มีสิทธิในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงระบบ ในการตัดสินใจเลือกและสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อม ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และหลีกเลี่ยงการบริโภคที่ล้นเกิน (Overconsumption) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดวิกฤตทางสิ่งแวดล้อม และการปนเปื้อนที่รุนแรงขึ้น จากการผลิตและการบริโภคที่มากเกินความจำเป็น และต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล รวมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไปจนถึงการสะสมของสารเคมีอันตรายตกค้าง
เพราะเมื่อวัฏจักร ‘ผลิต-บริโภค-ทิ้ง’ หมุนเร็วเกินไปกว่าที่ธรรมชาติจะสามารถฟื้นฟูได้ทัน จึงนำไปสู่วิกฤตโลกร้อน มลพิษทางน้ำ และสารเคมีตกค้างเรื้อรัง ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของมนุษย์และความสมดุลของระบบนิเวศ จึงแนะนำให้ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมการบริโภคผ่าน 3 แนวทางต่อไปนี้
– Buy Less : ซื้อน้อย
ซื้อให้น้อยลง คำนึงถึงคุณภาพมากกว่าปริมาณที่ซื้อ ซื้อเฉพาะสิ่งที่มั่นใจว่าจะได้ใส่บ่อยๆ ใส่ได้นาน และมองความจำเป็นก่อนตัดสินใจซื้อ
– Choose Well : เลือกอย่างมีคุณภาพ
เลือกสิ่งที่คิดว่าจะได้ใส่นานๆ มีโอกาสที่จะ Mix&Match ได้ และมองถึงแบรนด์ที่คำนึงถึงความเป็นธรรมต่อพนักงาน และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมด้วย
– Make it Last : ใช้ให้นานและคุ้มค่าที่สุด
คำนึงถึงความคุ้มค่า และซ่อมแซมเสื้อผ้าเมื่อชำรุดแทนการซื้อใหม่ หรือแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากับเพื่อน เพื่อให้เสื้อผ้าเกิดการใช้งานได้แบบหมุนเวียน






