วิกฤติปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นับเป็นโจทย์สำคัญและเร่งด่วนที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องหันมาให้ความสำคัญ รวมทั้งต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มี ‘องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน’ หรือ TBCSD (Thailand Business Council for Sustainable Development) ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้นำในภาคธุรกิจเพื่อผนึกกำลังขับเคลื่อนการทำงานด้านความยั่งยืนมากว่า 32 ปี ถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายภาคธุรกิจที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดเครือข่ายหนึ่งของประเทศ
พร้อมการผนึกกำลังจากภาคีทุกภาคส่วนเพื่อจัดงานประจำปี ‘TBCSD Sustainable Business Forum 2025’ ร่วมบูรณาการความร่วมมือและแสดงจุดยืนในการเปลี่ยนผ่านภาคธุรกิจไทยไปสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ที่สอดคล้องต่อเป้าหมายของประเทศและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก

โดยได้รับเกียรติจาก คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นองค์ปาฐกพิเศษ รวมทั้งผู้บริหารจากองค์กรพันธมิตร 6 หน่วยงานหลักของประเทศ ได้แก่ 1. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2. หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 3.สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 4. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 5. องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และ 6. สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน)
นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารจากองค์กรสมาชิก TBCSD จำนวน 47 องค์กร ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มทรัพยากร กลุ่มบริการ กลุ่มเทคโนโลยี และอื่นๆ โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้นกว่า 400 คน ร่วมกันแสดงเจตนารมณ์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับนโยบายประเทศ รวมทั้งร่วมแสดงจุดยืนในฐานะผู้นำภาคธุรกิจไทยด้านความยั่งยืนที่ทันต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกและตอบโจทย์ทิศทางการพัฒนาของประเทศ

TBCSD เดินหน้าสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมยั่งยืน
คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) กล่าวว่า ก้าวต่อไปของ TBCSD ยังคงมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานองค์กรภาคธุรกิจไทยสู่การเป็น ‘องค์กรต้นแบบธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน’ เพื่อร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติต่างๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายประเทศและทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมวางโครงสร้างเครือข่าย ‘ระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน’ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ประเทศไทย และสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้ในเวทีโลก
“แม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เพียง 1% ของทั่วโลก แต่ถือเป็นประเทศ TOP10 ที่มีความเสี่ยงจากปัญหาวิกฤตสภาพอากาศในลำดับต้นๆ ของโลก จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งผลักดันแผนงานด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction) รวมทั้งแผนในการปรับตัวเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) ซึ่งปัจจุบันอุณหภูมิโลกได้พุ่งสูงเกิน 1.75 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญทั้งปัญหาคลื่นความร้อนสูง น้ำท่วม สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในหาดใหญ่ เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าวิกฤตสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความมั่นคงของประเทศ ซึ่งในอนาคตจะมีความรุนแรง และมีความถี่มากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญและเร่งเครื่อง เพื่อสามารถยกระดับในการต่อสู้ และรับมือต่อปัญหาสภาพอากาศที่เกิดขึ้น โดยทุกฝ่ายอาจต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อสามารถช่วยลดอุณหภูมิของโลกได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น”

เสนอ Quick Big Win หนุนเปลี่ยนผ่าน ‘พลังงานยั่งยืน’
คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘อนาคตไทยในการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่ความยั่งยืน’ ให้ข้อมูลว่า การที่ประเทศไทยประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 กระทบโดยตรงต่อภาคพลังงานเนื่องจากเป็นหนึ่งภาคส่วนหลักที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างมากเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยเฉพาะการประกาศเจตนารมณ์ครั้งล่าสุดในเวที COP30 เมืองเบเลง ประเทศบราซิล โดยเป้าหมายประเทศไทยคือการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 47% ภายในปี 2030 จากฐานในปี 2019 หรือต้องลดได้ราว 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 ของประเทศไทย
ดังนั้น จำเป็นต้องยกระดับความพร้อมการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านนโยบายด้านพลังงานแห่งอนาคตที่ต้องพัฒนาให้เท่าทันต่อความท้าทายที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งสามารถรักษาความสมดุลใน 3 ปัจจัยสำคัญ ของการบริหารจัดการพลังงานทั้งเรื่องความมั่นคง (Security) ความยั่งยืน (Sustainability) และต้นทุนทางเศรษฐกิจ (Economy) โดยสิ่งภาคพลังงานไทยต้องเร่งขับเคลื่อน มี 4 ด้าน ได้แก่ 1. การเร่งจัดทำแผนด้านพลังงาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่าน 2. เร่งการลงทุนพลังงานสีเขียว และเทคโนโลยีพลังงานแห่งอนาคต 3. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน รองรับพลังงานรูปแบบใหม่ และ 4. เร่งปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

ขณะที่การจัดอันดับ Energy Transition Index (ETI) ในปี 2024 โดย World Economic Forum (WEF) พบว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอันดับ 60 จาก 120 ประเทศ หรืออันดับ 4 ของอาเซียน โดยเวียดนามถือเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของภูมิภาคอาเซียน โดยพบว่าประเทศไทยยังคงเป็นรองเวียดนามในหลายมิติ อาทิ การเข้าถึง ความมั่นคง การลงทุน กฎระเบียบและแผน และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงาน
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้เสนอนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงานผ่านโครงการต่างๆ ที่มากกว่าส่งเสริมหรือขับเคลื่อนนโยบายแต่มุ่งพัฒนาตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน รวมทั้งกฎหมายและกฎระเบียบที่มารองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว และนำไปสู่การลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่สนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 อย่างยั่งยืน
“ปัจจุบันนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงาน หลายมาตรการเริ่ม Kick off แล้ว อาทิ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมาย 1,500 MW ทั่วประเทศ โดย กพช. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสร้างประโยชน์จากการกระตุ้นการลงทุน และประชาชนรอบโรงไฟฟ้าได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา เพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี สนับสนุนให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายการติดตั้ง Solar Rooftop มาลดหย่อนภาษี รวมถึง การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP ฉบับใหม่ โดย กบง. มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ เพื่อจัดทำแผน PDP ซึ่งถือเป็นแผนพลังงานฉบับแรกที่เกิดขึ้นภายใต้เป้าหมาย Net Zero 2050 เห็นได้ว่านโยบายที่เริ่ม Kick off แล้ว มีส่วนสร้างแรงกระตุ้นสำคัญต่อการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดอย่างมีนัยสำคัญ และสนับสนุนการบรรลุ Net Zero Emission ของประเทศในอนาคต”
Triple Planetary Crisis : ร่วมหาทางรอดจาก 3 วิกฤตโลก
เวทีครั้งนี้ ยังได้ฉายภาพถึง 3 วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม หรือ Triple Planetary Crisis ซึ่งประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change), การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) และ ปัญหาเรื่องมลพิษ (Pollution) ซึ่งเป็นวิกฤตที่ทั้งประเทศไทยและทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ รวมทั้งได้ส่งผลกระทบทั้งต่อด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัญหาทั้งหมดเหล่านี้ต่างมีความเชื่อมโยงกันในทุกมิติ

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า หนึ่งในปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความท้าทายทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลกในการหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ได้แก่ ปัญหามลพิษทางอากาศจาก PM2.5 ปัญหามลพิษขยะและขยะพลาสติก โดยปัจจุบันภาคธุรกิจไทยได้มีการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีทุกภาคส่วนในการร่วมแก้ไขปัญหาขยะและการจัดการขยะพลาสติก ทั้งในเชิงระดับนโยบายและการปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circularity Ecosystem) ในการจัดการปัญหาขยะพลาสติกและขยะอื่นๆ อย่างเป็นรูปธรรม บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน
“เพื่อช่วยการขับเคลื่อนและลดผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ประเทศไทยเริ่มมีความพยายามในการผลักดันข้อกฎหมายต่างๆ เข้ามาใช้ อาทิ พ.ร.บ. อากาศสะอาด, พ.ร.บ. ลดโลกร้อน และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับปรับปรุง หรือแผน PDP2025 รวมทั้งการผลักดันกฎหมาย EPR ในการเรียกคืนซากผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาขยะให้สามารถนำกลับไปสร้างประโยชน์และลดปริมาณสู่หลุมฝังกลบ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการหมุนเวียนวัสดุและการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณขยะ เพิ่มอัตราการรีไซเคิล และสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุใช้แล้วเพื่อให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย”

ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ กล่าวว่า การแก้ปัญหา Triple Planetary Crisis ซึ่งเป็นวิกฤติที่เชื่อมโยงและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน จำเป็นต้องบูรณาการมาตรการเพื่อรับมือกับวิกฤติทั้งสามพร้อมกันอย่างเป็นระบบ โดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่าโลกก้าวข้าม Planetary Boundaries ทางสิ่งแวดล้อมไปแล้ว 7 ด้านจาก 9 ด้าน ซึ่ง 1 ในนั้น คือ Biodiversity Loss สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจ การเสื่อมถอยของความหลากหลายทางชีวภาพส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่ธุรกิจพึ่งพา ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษเพิ่มความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนทางการเงิน
“วิกฤตสิ่งแวดล้อมจึงมิใช่เพียงประเด็นด้านความยั่งยืน แต่เป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ที่อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและความน่าเชื่อถือขององค์กร พร้อมกันนี้ วิกฤตดังกล่าวยังถือเป็นโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีการคำนึงถึงการฟื้นฟูธรรมชาติและการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะเป็นการดำเนินงานเชิงระบบเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Nature Positive ภายในปี 2030 และสามารถ Full Recovery รวมทั้งบรรลุ Net Zero ได้ภายในปี 2050 ต่อไป”

ดร. กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้แทนกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การที่ ครม. ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ประเทศไทยมีเครื่องมือในการประกอบธุรกิจยุคใหม่ ที่สอดคล้องไปกับทั่วโลก ประกอบกับการขยับเป้าหมาย Net Zero 2050 ซึ่งไวขึ้น 15 ปี ทำให้ภาคธุรกิจและประชาชนต้องตื่นตัว และมีการวางแผนในการลงทุน โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีหรือการสร้างนวัตกรรม รวมทั้งการปรับพฤติกรรมในการทำงานหรือการประกอบธุรกิจให้สอดคล้องไปกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ประเทศไทยวางยุทธศาสตร์และทิศทางนโยบายสำคัญเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วน เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) รวมทั้งการพัฒนาและดำเนินมาตรการ กลไก/เครื่องมือที่จำเป็น เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานจากนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การตราพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … และกฎหมายลำดับรอง การจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เพื่อให้การดำเนินงานสามารถสะท้อนเทคโนโลยีใหม่และสถานการณ์เศรษฐกิจ-สังคมที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันกรมฯ อยู่ระหว่างปรับปรุงแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำแผนระยะสั้นที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy : LT-LEDS) การพัฒนาระบบติดตามและประเมินผล การส่งเสริมองค์ความรู้ การวิจัย นวัตกรรม และการพัฒนาขีดความสามารถ ตลอดจนการสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน และมีแผนจะดำเนินโครงการศึกษาแนวทางการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม (Just Transition) สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทยต่อไป”







