WHA Group เล็ง ปี 68 สร้าง New high ครั้งใหม่ พร้อมเปิดแผน 5 ปี อัดงบลงทุนเกือบ 1.2 แสนล้านบาท ดันรายได้ทะลุ 1.5 แสนล้านบาท 

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ตั้งเป้าสร้าง New high ครั้งใหม่ในปี 2568 ​พร้อมเพิ่มกลุ่มธุรกิจ​ Green Mobility ​ครอบคลุมซัพพลายเชนครบวงจร ย้ำทิศทาง​เติบโตอย่างยั่งยืน ​หวังดันรายได้และส่วนแบ่งกำไรกว่า 2 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 พร้อม​เร่งขับเคลื่อน​แผน 5 ปี (2568-2572) รองรับการขยายธุรกิจและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ผ่านงบลงทุนเกือบ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต  2.9 เท่า จากปี 2567 ​หรือมีรายได้แตะ 1.5 แสนล้านบาท

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA Group) คาดการณ์ผลประกอบการปี 2567 ยังคงทำกำไรในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มบริษัทฯ 14,400 ล้านบาท อัตรากำไร EBITDA มากกว่า 55% และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า พร้อม​เผยแผน​ดำเนินงานในปี 2568 ​โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และส่วนแบ่งกำไรกว่า 2 หมื่นล้านบาท และคงอัตรากำไร EBITDA Margin มากกว่า 45%  รวมทั้งวางแผนขับเคลื่อนการดำเนินงาน​ 5 ปี (2568-2572) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ผ่านงบลงทุนเกือบ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต  2.9 เท่า จากปี 2567 ​ หรือมีรายได้แตะ 1.5 แสนล้านบาท

คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจที่สำคัญของ WHA Group​ แม้​จะยังมีปัจจัยที่น่าจับตาด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical)ที่​​จะยิ่งทวีความเข้มข้น จาก​การกลับมาของประธานาธิปดีทรัมป์ แต่อาจจะช่วย​สร้างโอกาสการลงทุน​​ในภูมิภาคอาเซียน​เพิ่มขึ้น ​โดยเฉพาะประเทศไทย​ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์​​ Supply Chain ที่ครบวงจร มีความพร้อม​ระบบสาธารณูปโภค ความมั่นคงทางด้านพลังงาน รวมถึงพลังงานหมุนเวียน แรงงานที่มีคุณภาพ ​และนโยบายการส่งเสริมจากภาครัฐ ที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ คลาวด์เซอร์วิส ขณะที่​ WHA Group มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความพร้อม​​รองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นเป็นโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

“ในปีนี้ธุรกิจ​กลุ่ม Mobility ภายใต้แบรนด์ Mobilix  ซึ่งโดดเด่นในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย จะเข้ามาเติมเต็มในอีโคซิสเต็มของ WHA ในฐานะ 1 ใน 5 Business Unit อย่างสมบูรณ์ ด้วยบริการที่สอดคล้องกับเทรนด์และดีมานด์ของอุตสาหกรรม เพื่อ​เสริมธุรกิจหลักที่ยังคงแข็งแกร่​งและตอบโจทย์​ทิศทางธุรกิจในอนาคต ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจร นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลโซลูชัน ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ครบวงจร ก้าวสู่การเป็นการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization)  ตลอดจนการนำศักยภาพขององค์กรไปสร้างการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน และเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงทุกมิติ (High Performance Organization) สอดคล้องกับพันธกิจ “WHA: We Shape the Future

ทั้งนี้  WHA Group ยังขับเคลื่อนการเติบโต​ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย

– Extend Leadership เร่งขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในประเทศและตลาดภูมิภาค

– Embrace Innovation and Technology นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve ให้กับองค์กร

– Enhance the Prominence on Green and Sustainability มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม

– Build High Performance Organization ด้วยการพัฒนา ยกระดับองค์กรในทุกด้านให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง

สำหรับแผนลงทุนและ​ขับเคลื่อนการเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจ มีดังต่อไปนี้

1. ธุรกิจโลจิสติกส์ :  ปี 2567 มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ด้วยพื้นที่รวม 3,109,000 ตารางเมตร เป็นโครงการใหม่  167,000 ตารางเมตร ส่วนในปี​ 2568 ​ตั้งเป้าเพิ่มสินทรัพย์​เป็น ​3,309,000 ตารางเมตร จากโครงการให้เช่าพื้นที่ใหม่​ 200,000 ตารางเมตร และมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART รวมทั้งสิ้นประมาณ 70,000 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท

ส่วน​กลยุทธ์เติบโต สำหรับประเทศไทยมุ่งขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทำเลยุทธศาสตร์ทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล พื้นที่ EEC และเมืองรอง โดยปี 2568 มีแผนขยายโครงการสำคัญในทำเลศักยภาพ ได้แก่ WHA Mega Logistics Center ชลหารพิจิตร กม.4 โครงการ 2, WHA Mega Logistics Center เทพารักษ์ กม. 21 เฟส 3 และ WHA Mega Logistics Center บางนาตราด กม. 23 Inbound รวมพื้นที่กว่า 380,000 ตารางเมตร ส่วน​เวียดนาม เน้นรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เช่น อีคอมเมิร์ซ สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก

“​​โครงการคลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งแรกในเวียดนามขนาด 37,000 ตารางเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จ และพร้อมเปิดให้บริการต้นปีนี้ รวมทั้งยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) เพิ่มเติมกับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงการโลจิสติกส์ในพื้นที่ 300 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กับตัวเมืองหลักของจังหวัดและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอีกด้วย”

สำหรับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ จีซี โลจิสติกส์ จำกัด (WGCL) มุ่งเป้าสู่การยกระดับจาก 3PL เป็น 4PL (Fourth-Party Logistics Provider) โดยอาศัยจุดแข็ง และความเชี่ยวชาญร่วมของ WHA และ GC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโลจิสติกส์ โดยการเปลี่ยนผ่านสู่ 4PL เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยขยายขอบเขตการให้บริการจากการจัดการขนส่งและคลังสินค้า (3PL) ไปสู่การวางแผน ออกแบบ และบูรณาการระบบโลจิสติกส์อย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับบริษัทและลูกค้า

ส่วน Office Solutions ​​เดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานบนทำเลที่ดีเยี่ยมของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมี​ 6 โครงการ พื้นที่รวม​กว่า 120,000 ตารางเมตร โครงการล่าสุดที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้วในปี 2567 ได้แก่ โครงการ Qube ไลฟ์สไตล์ รีเทลสเปซ บนพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร อยู่ติดสถานี BTS สุรศักดิ์ ​ส่วนปี 2568 มีโครงการใหม่ที่พร้อมให้บริการ ได้แก่ โครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง ย่านสาทร พื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568

2. ธุรกิจโมบิลิตี้ (Mobility) : เปิดตัวในปี 2567 ผู้พัฒนาโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mobilix  ผ่าน 3 บริการหลัก คือ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) ​สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) บริการเครื่องชาร์จและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) แพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะอันทันสมัยสำหรับจัดการรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่

“ปี 2567 ได้ให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าอีก 318 คัน พร้อมผนึกกำลังกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้​ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของธุรกิจอย่าง Voltality EVMe Grab และเริ่มความร่วมมือการให้บริการเชิงพาณิชย์กับ SHARGE ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem และมีการก่อสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้าด้วยกำลังการผลิต 5,400 กิโลวัตต์ โดยตั้งเป้าเติบโตเพิ่มรถ EV ให้เช่าถึง 1,700 คัน ในปีนี้ และเพิ่มเป็น 20,000 คันภายใน 5 ปี ​จากความ​ร่วมมือกับพันธมิตรใน EV Ecosystem​ รวมทั้งการจัดการยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ การเป็นเลิศในการให้บริการอย่างครบวงจรพร้อมความยืดหยุ่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า”

3. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม : ปี 2567 มียอดขายที่ดินรวม 2,565 ไร่ แบ่งเป็น ในประเทศไทย 2,453 ไร่ และ​เวียดนาม 112 ไร่ ​และยอดโอนที่ดินรวม 2,070 ไร่  อยู่ในประเทศไทย 1,727 ไร่ และเวียดนาม 343 ไร่ โดยลูกค้ารายสำคัญคือ Google ได้ลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้าง Data Center แห่งแรกในประเทศไทย และ Haier เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศครบวงจรแห่งใหม่ โดยในสิ้นปี 2567 มีนิคมในการดูแล 15 แห่ง อยู่ในประเทศไทย 14 แห่ง และในเวียดนาม 1 แห่ง

“พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย อยู่ระหว่างก่อสร้างและรอการพัฒนารวม 7 โครงการ ​พื้นที่ 8,810 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการที่ดินจากนักลงทุนที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วน​เวียดนาม​มี 2 โครงการ ขนาดพื้นที่รวม 2,297 ไร่ ​ได้รับการอนุมัติใบอนุญาตลงทุน (Investment Registration Certificate, IRC) แล้ว และ 1 โครงการ ขนาด 1,094 ไร่ อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุน นอกจากนี้​ในเดือนมกราคม 2568 ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่ง พื้นที่รวมประมาณ 4,000 ไร่ โดยตั้งเป้าเติบโตในปี 2568 เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในประเทศไทย และมุ่งขยายธุรกิจใน​เวียดนาม รวมทั้งมองหาโอกาสขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม โดย​ตั้งเป้ายอดขายที่ดินทั้งในไทยและเวียดนามรวม 2,350 ไร่ ​​เน้น​ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมุ่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart Industrial Estates) ​เพื่อการพันธมิตรที่ให้บริการโซลูชันแบบครบวงจร ตอกย้ำจุดแข็งการให้บริการแบบ Built ti Suit ที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครอบคลุม”

4.ธุรกิจสาธารณูปโภค (ธุรกิจน้ำ) :  ตั้งเป้ายอดขายและบริหารจัดการน้ำรวม 173 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็น ในประเทศ​ 132 ล้านลูกบาศก์เมตร ​ในเวียดนาม​ 41 ล้านลูกบาศก์เมตร และเป้าหมายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 10 ล้านลูกบาศก์เมตร  จากปี 2567 มี​ยอดขายน้ำและบำบัดน้ำเสีย 166 ล้านลูกบาศก์เมตร ​และผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 8 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต​ 25% โดยโครงการที่ประสบความสำเร็จคือ โครงการซื้อ-ขายน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(GC) ปริมาณ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี ส่วนในปี 2568 การเติบโตในประเทศไทยมุ่งขยายตัวตาม​​นิคมอุตสาหกรรม โดยการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในการหาแหล่งน้ำดิบอย่างต่อเนื่อง

พร้อมขยายการผลิตน้ำที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจในพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรม WHA รวม​ถึงการเข้าร่วมโครงการสาธารณูปโภคน้ำประปาและน้ำเสียในพื้นที่ใหม่ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะทำสัญญาซื้อ-ขายน้ำกับการประปาส่วนภูมิภาค ปริมาณสูงสุด 4.3 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี  และเดินหน้า Smart Water Solutions  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ ลดต้นทุน และลดน้ำสูญเสีย ส่วนในเวียดนาม ​วางแผนขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และใช้ความเชี่ยวชาญ​การพัฒนาประสิทธิภาพโครงการสาธารณูปโภคด้านน้ำที่ได้เข้าไปลงทุน

(ธุรกิจไฟฟ้า) :  ปี 2567 มีกำลังผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้ว 965 เมกะวัตต์ ​จากพลังงานสะอาดทั้งหมด 437 เมกะวัตต์ ส่วน​ปี 2568 ​จะเดินหน้าขยายการลงทุนพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและนอกประเทศ โดยในไทย​เน้น​ลงทุน​โครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff และโครงการ Direct PPA เป็นต้น  ส่วนประเทศเวียดนาม ​เริ่มดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการไมโครกริด ที่นิคมเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Zone 1 ในจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เฟส 1 ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 และมุ่งเน้นต่อยอดการขยายธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปอีกด้วย

“​ยัง​มีการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันพลังงานอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) เป็นต้น พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,185 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากพลังงานหมุนเวียน 657 เมกะวัตต์”​

5. ธุรกิจดิจิทัล : ในปี 2568 WHA Digital ยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งให้​กลุ่มธุรกิจต่างๆ ใน WHA Group  ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น Artificial Intelligence, Internet-of-Thing โดยในปัจจุบันมีโครงการ AI Transformation ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 12 โครงการ ได้แก่ Drone Inspection Solution และ IoX Platform for Solar อีกทั้ง WHA Digital พร้อมหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้แก่ โมบิลิกส์ แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ โดยได้ตั้งเป้าหมายสำหรับยอดการใช้งานโมบิลิกส์ แพลตฟอร์มที่ประมาณ 900 คัน ภายในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6,000 คัน ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมทั้ง​ตั้งเป้าหมายในการพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่ พร้อมให้บริการภายใน WHA Group ภายในปี 2568

มุ่งขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืน

บทพิสูจน์ความสำเร็จของ WHA Group ในปี 2567 ที่ผ่านมา เห็นได้จากรางวัลต่าง ๆ เช่น รางวัล  Best Sustainability Awards ในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence  จากงาน SET Awards 2024 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับสูงสุด “AAA” รางวัลนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 และรางวัล HR Asia: Sustainable Workplace Awards จาก HR Asia เป็นต้น

“WHA Group ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างคุณค่าให้กับสังคม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี 2572 อย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าให้บริการประมาณ 20,000 คัน  การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 683,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี การลดการใช้น้ำจากธรรมชาติลงประมาณ 25,000,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี เทียบเท่ากับปริมาณการใช้น้ำของภาคครัวเรือนกว่า 685,000 คน และการจัดการขยะแบบ Zero Waste ที่จะไม่มีการฝังกลบหรือเผาทำลาย เพื่อขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” คุณจรีพร กล่าวทิ้งท้าย

Stay Connected
Latest News