Dialogue

ส่องเทรนด์ ‘ความยั่งยืน’ ปี 2025

ปี 2025 การตื่นตัวและปรับตัวสู่ ความยั่งยืน’ ยังคงเป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วน​ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ อย่างต่อเนื่อง ​จากวิกฤต สภาพอากาศ ในปี 2024 ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ และอุณหภูมิของโลกพุ่งขึ้นทะลุเกินเส้น 1.5 องศา ที่ทั่วโลกพยายามรักษาระดับไว้ และเข้าสู่ภาวะ โลกเดือด เป็นที่เรียบร้อย

ประกอบกับ ผลกระทบ​วิกฤตสภาพอากาศสุดขั้ว นำมาสู่ภัยธรรมชาติทั้งในประเทศไทยรวมทั้ง​ต่างประเทศที่เกิด​บ่อยและรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความแห้งแล้ง การเกิดพายุ ​​น้ำท่วมในหลายพื้นที่ และหลายรอบตลอดทั้ง​ปีที่ผ่านมา ​รวมทั้งไฟป่า แผ่นดินไหว ไปจนถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจและปากท้อง จากการปรับตัวขึ้นของราคาเชื้อเพลิง และพลังงานต่างๆ

ความสำคัญเรื่อง Climate Literacy หรือการมีความตระหนักรู้ และความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาสภาพอากาศ เพื่อร่วม Action ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน เพื่อมีส่วนบรรเทา หรือช่วยลดผลกระทบ​ที่เกิดขึ้น ​​ทั้งจากการขับเคลื่อนในฟากธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีเทรนด์ความยั่งยืน หรือ Sustainability Trend ที่น่าสนใจในปี 2025 ต่อไปนี้

1. พลังงานสะอาด
-การเดินหน้าปฏิรูปพลังงานสะอาดทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นใน​ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ครองอันดับ 1 พลังงานสะอาด และมีการลงทุนในอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์มีการลงทุนอย่างหนัก และถือเป็นแหล่งพลังงานที่เติบโตมากที่สุดติดต่อกันกว่า 20 ปี

– ปัจจุบัน จีน ครองอันดับ 1 ประเทศที่ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์สูงสุดของโลก รองลงมาเป็นสหรัฐอเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น และเยอรมนีตามลำดับ โดยเฉพาะในปี 2023 จีนมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เพิ่มขึ้น 55.2% แซงหน้ายุโรปที่ทำไว้ 14%

– คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของ Solar Power ทั่วโล​ก ดังนี้
• ปี 2026 กำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์แซงหน้าพลังงานโรงงานนิวเคลียร์
• ปี 2028 อาจมากกว่าพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อน
• ปี 2032 มีโอกาสแซงพลังงานจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน
• ปี 2040 อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ มุ่งผลักดันพลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ

2. การปรับตัว ของภาคธุรกิจ
– ผู้บริโภคกว่า 68% ทั่วโลก คาดหวังให้ภาคธุรกิจและแบรนด์ เป็นผู้นำขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นโมเดลธุรกิจใหม่ ที่ให้โลกและธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง (Planet-Centric Model) เพิ่มความเห็นอกเห็นใจต่อโลก เป็นแนวคิดที่ช่วยให้ธุรกิจเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ควบคู่การเพิ่มความสามารถในการดึงดูดลูกค้าและสร้างผลกำไรระยะยาว ผ่านนวัตกรรมที่นำไปสู่ทางออกใหม่ๆ ได้มากขึ้น

– มีการคำนึงถึงบทบาทของภาคธุรกิจและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งทรัพยากรต่างๆ มากขึ้น เพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากวิกฤตสภาพอากาศ ขณะที่ผู้บริโภคคาดหวังการแสดงความรับผิดชอบของภาคธุรกิจมากขึ้น ทำให้ต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ใช้ มาเป็นผู้ช่วยฟื้นฟู และการเป็นผู้นำในการ Action เพื่อทำให้คนมี Planet Empathy มากขึ้น

– การออกแบบสินค้าหรือบริการ เพื่อให้ผู้บริโภคอยู่รอดและทนต่อสภาพภูมิอากาศ เนื่องจาก คนรุ่นใหม่อายุ 16-24 ปี กว่า 84% มีภาวะวิตกกังวลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม (Eco-Anxiety) รวมทั้งคนเจนซีและอัลฟ่า 71% ก็รู้สึกกังวลต่อโลกใบนี้ ความอยู่รอด จึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ต่างๆ

3. การออกแบบอาคาร /เมือง (Green Building)
-เมืองต่างๆ ทั่วโลกต้องเตรียมรับมือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากการเติบโตของเมืองทำให้มีการปล่อย CO2 มากขึ้น ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งปัญหาความแห้งแล้งและวิกฤตต่างๆ ทำให้เมืองต้องพัฒนานวัตกรรมและวางแผนระยะยาว เพื่อดูแลความปลอดภัยให้ประชาชน

– การออกแบบเชิงชีวภูมิภาค เพื่อศึกษาทั้งลักษณะของพื้นที่และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจผสมผสานระบบห่วงโซ่การผลิตหมุนเวียนและการฟื้นฟูเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างบูรณาการ เพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองเข้ากับระบบธรรมชาติ และสร้างเมืองที่ใช้ทรัยากรหมุนเวียนครบวงจรและฟื้นฟูตัวเองได้

– การสร้างเมืองใหม่ จะต้องคำนึงถึงหลักเมืองสีเขียว เมืองอัจฉริยะ หรือเมืองเพื่อความยั่งยืน เพื่อแก้ปัญหาจากความแตกต่างระหว่างระบบธรรมชาติกับวิธีคิดของผู้คน

4. เทรนด์อาหารยั่งยืน
– ตลาดผลิตภัณฑ์จากพืช Plant based เติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง​ 23% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ​ขณะที่เทรนด์​การพัฒนารสชาติและเนื้อสัมผัสของ Plant-based มุ่งเน้นให้มีความใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์จากสัตว์​ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย

– ผลิตภัณฑ์จากพืช 
• เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 23% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
• การพัฒนารสชาติ เนื้อสัมผัสให้ใกล้เคียงผลิตภัณฑ์จากสัตว์
• ให้ความสำคัญกับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Food Security เพิ่มความ​สามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศ Climate Resilience เพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตสภาพอากาศในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​ราคาอาหารและความไม่แน่นอนของผลผลิต ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลก​มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหา Food Security

– หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือ การพัฒนาทางเลือกที่ยืดหยุ่นและทนทานต่อสภาพอากาศที่แปรปรวนมากขึ้น, การค้นหาวัตถุดิบทางเลือกสำหรับพืชผลที่ไวต่อสภาพอากาศ เช่น โกโก้ กาแฟ และน้ำมันมะกอก , การเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน เพื่อรับมือต่อความท้าทายด้านสภาพอากาศที่เกิดขึ้น เป็นต้น