แสนสิริ ตอกย้ำผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย เดินหน้ากลยุทธ์ความยั่งยืนครั้งสำคัญ ยกระดับ ‘Sansiri Sustainable Design‘ พัฒนาที่อยู่อาศัยให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ยั่งยืน ทั้งสุขภาพกาย สุขภาวะใจ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน
พร้อมต่อยอด ‘Sansiri Sustainable Home Prototype 1’ บ้านต้นแบบนวัตกรรมยั่งยืนแห่งแรกของไทย ที่โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ ซึ่งแสนสิริและพาร์ทเนอร์ทั้ง 18 ราย ร่วมกันพัฒนาบ้านต้นแบบเพื่อความยั่งยืนและคุณภาพชีวิต สำหรับเป็นแนวทางในการพัฒนาที่อยู่อาศัยคาร์บอนต่ำในอนาคต
โดยได้นำมาใช้พัฒนาแล้วใน 25 โครงการ ครอบคลุมทั้งบ้านและคอนโด เพื่อตอกย้ำพลังแห่ง Design Leader ของแสนสิริ ผ่านการออกแบบที่เห็นผลจริง เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ที่อยู่อาศัยในอนาคตไปพร้อมกับการแสดงพลังรักษ์โลกอย่างยั่งยืน นำร่องด้วย valles HAUS (วาลเลส เฮาส์) โครงการ Pets welcome condominium โครงการแรกของ HAUS ในกรุงเทพฯ รวมถึงเป็นโครงการที่จะสร้างสุขที่ยั่งยืนผ่าน Health & Well-being Design ของผู้อยู่อาศัย
คุณพีร์ โปษยานนท์ Product Development Department บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริเชื่อว่าความยั่งยืนต้องเริ่มต้นที่ ‘ต้นน้ำ’ อย่างแท้จริง จึงนำ Green Architecture & Design มาเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาสินค้า เพื่อตอกย้ำปรัชญา Constructing Life, Not Just Building ที่ไม่ได้คำนึงถึงแค่เพียงการสร้างบ้าน แต่มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการผสานความยั่งยืนเข้ากับงานออกแบบ เนื่องจาก ที่อยู่อาศัยเป็นพื้นที่สร้างชีวิต และชีวิตที่ดีเกิดขึ้นจากการออกแบบที่ดี จึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์และปรับแต่ง (Customize) การออกแบบอย่างละเอียด เพื่อสามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยในทุกโครงการให้สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนได้ทุกมิติ

ตอกย้ำผู้นำด้านการออกแบบตลอด 40 ปีของแสนสิริ
หัวใจหลักในการออกแบบที่ยั่งยืนของ Sansiri Sustainable Design คือ การผสานนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม เข้ากับ Nature Based Design Solution เพื่อสร้างบ้านที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี (Well-being) ของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว และถือเป็นพันธกิจในการสร้างมาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต เพื่อให้ทุกยูนิตเต็มไปด้วยนวัตกรรมที่ช่วยลดการใช้พลังงาน และเป็นมิตรต่อสุขภาพของทุกคนอย่างแท้จริง
คุณอิทธิกร วงศ์ศรีศุภกุล Corporate Communication Sustainability บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า Sansiri Sustainable Design ถือเป็น Key Driver เพื่อพัฒนาโครงการที่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายขององค์กร ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้า รวมทั้งการแสดงความรับผิดชอบทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปได้พร้อมๆ กัน
ล่าสุด แสนสิริ ได้ขับเคลื่อนแคมเปญ ‘Sustainable Happiness: สร้างสุขที่ยั่งยืน’ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสถึงนิยามใหม่ของที่อยู่อาศัยที่เป็นมากกว่าแค่ ‘ที่อยู่’ แต่คือการ ‘ใช้ชีวิต‘ ที่แข็งแรง มีความสุข และใส่ใจต่อโลกในระยะยาวได้ ผ่านแนวคิดการออกแบบที่เน้นการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน รวมทั้งการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพอากาศและวิถีชีวิตไทย โดยหนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือ การถอดรหัสและต่อยอด Sansiri Sustainable Home Prototype 1 บ้านต้นแบบนวัตกรรมยั่งยืนแห่งแรกของไทยจากแสนสิริ
โดยนำแนวคิดและองค์ประกอบทั้งวัสดุ เทคโนโลยี และการออกแบบที่ผ่านการวัดผลและพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว มาขยายผลและประยุกต์ใช้สู่โครงการต่างๆ ของแสนสิริ โดยได้นำร่องใช้ใน 25 โครงการ ได้แก่ เศรษฐสิริ เดอะ เบส และดีคอนโด รวมถึง 2 โครงการใหม่อย่าง วาลเลส เฮาส์ และ ไวด์เด็น บาย แสนสิริ ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยสามารถปรับใช้ในโครงการที่มีความแตกต่างกันไปตามบริบท และโลเกชั่น รวมทั้งตลาดและกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างการเติบโตให้ทุกภาคส่วนใน Ecosystem ของอสังหาริมทรัพย์
4 แกนหลัก Sansiri Sustainable Design
สำหรับ Sansiri Sustainable Design ประกอบด้วย 4 แกนหลักแห่งความยั่งยืน ที่ ‘จับต้องได้‘ และ ‘เห็นผลจริง‘ ว่าหากคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยทำให้ลูกบ้านได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ประหยัดพลังงาน และดีต่อโลก ประกอบด้วย
1. Cooliving Design (นวัตกรรมบ้านเย็นสู้โลกร้อน)
– การออกแบบอย่างชาญฉลาดที่คำนึงถึงทิศทางแสงแดดและลมตามธรรมชาติ เพื่อช่วยให้อากาศภายในบ้านเย็นสบาย โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศมาก
– การตกแต่งโดยใช้ กระจกเขียวตัดแสงพิเศษที่สามารถป้องกันรังสี UV ได้สูงถึง 93% และรังสีอินฟราเรดได้ 97% ทำให้บ้านเย็นสบายแม้ในสภาพอากาศร้อนจัดของไทย แต่ยังได้แสงธรรมชาติที่ช่วยสร้างความอบอุ่นภายในบ้าน
2. Resource Efficiency (ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรสูงสุด)
– เพิ่มการใช้พลังงานสะอาดและนวัตกรรมการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการใช้พลังงานภายในบ้าน เช่น การเลือกหลอดไฟ LED ไปจนถึงการติดตั้งโซลาร์เซลล์ รวมทั้งการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ที่ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ เพื่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
3. Green Materials (ใช้วัสดุรักษ์โลก ลดคาร์บอน)
– การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและกระบวนการผลิตที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ
– ส่งเสริมแนวคิด Upcycling ด้วยการนำวัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้าง เช่น เศษหินอ่อน มาออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดขยะจากการก่อสร้าง
4. Health and Well-being Design (ออกแบบเพื่อสุขภาพและสุขภาวะที่ดี)
– นอกจากการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องคำนึงถึงสุขภาพและการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยเป็นสิ่งสำคัญด้วย ผ่านการให้ความสำคัญกับการมีนวัตกรรมการกรองอากาศและฆ่าเชื้อโรค พร้อมระบบแรงดันบวก เพื่อมอบอากาศบริสุทธิ์ รวมทั้งช่วยป้องกันฝุ่น PM และมลพิษจากภายนอก รวมทั้งเลือกใช้วัสดุตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณสมบัติ Zero-VOCs (ปลอดสารระเหย)
– ส่งเสริมคอมมูนิตี้ยั่งยืนด้วยพื้นที่ Sansiri Backyard ให้ทุกคนปลูกผักสวนครัวปลอดสาร และที่สำคัญคือการออกแบบเพื่อทุกวัย (Universal Design) เพื่อความปลอดภัยและสุขภาวะที่ดีในระยะยาว
แสนสิริเชื่อว่าแนวคิดในการดำเนินงานนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยตั้งแต่ต้นน้ำ ไปยังปลายน้ำสู่มาตรฐานสากล และตอกย้ำตัวจริงในวงการอย่างแสนสิริในฐานะผู้นำด้านดีไซน์ คุณภาพโครงการ การบริการหลังการขาย และความยั่งยืนที่แท้จริง เพื่อพุ่งสู่เป้าหมาย การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกที่ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
valles HAUS ต่อยอดสู่ Health & Well-being Design
พร้อมกันนี้ แสนสิริ ได้เปิดตัวโครงการ valles HAUS (วาลเลส เฮาส์) หนึ่งโครงการที่นำแนวคิด ‘Sansiri Sustainable Design’ มาใช้ในการออกแบบ เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยและความสุขอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาวะทางใจ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Materials)
พัฒนาสู่โครงการที่โฟกัสการสร้าง Health & Well-being Design ให้ผู้อยู่อาศัย และนับเป็น Pets welcome condominium โครงการแรกของ HAUS ในกรุงเทพฯ โดยมียูนิตที่เลี้ยงสัตว์ได้ 32% จากยูนิตทั้งหมด และคำนึงถึงความต้องการของผู้อาศัยทั้งคนและสัตว์เลี้ยง จึงมีทั้ง Pet park ที่มี Shower station, Seating, และ Cleaning station ที่ใช้พืชและวัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง รวมทั้งการติดตั้งนวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแรงดันบวก ในห้องพักอาศัยทุกยูนิต และส่วนกลาง เพื่อเติมอากาศเข้าสู่คอนโคตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านชั้นกรองอากาศต่างๆ โดยสามารถกรองฝุ่นได้ถึง 0.1 Micron (เล็กกว่า PM2.5 ถึง 25 เท่า)
และฆ่าเชื้อโรคด้วย UV-C เพื่อให้ได้อากาศที่สะอาด ปลอดภัย ปลอดฝุ่นปลอดกลิ่น และปลอดเชื้อโรค เปรียบเสมือนในห้องปลอดเชื้อในโรงพยาบาล มีพื้นที่ที่ออกแบบโดยเฉพาะสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่นระเบียงกันตก ส่วนกลางมีสระว่ายน้ำระบบเกลือที่มาพร้อม ‘วารีบำบัด หรือ hydrotherapy’ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งในการรักษาทางกายภาพบำบัด โดยใช้น้ำช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อต่อต่างๆ เพิ่มการทรงตัวให้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ พร้อมติดตั้งเก้าอี้นวดที่ล็อบบี้ และติดตั้งเครื่องออกกำลังกายรูปแบบใหม่ Echelon Strength Pro ที่ฟิตเนสส่วนกลาง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเลือกใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้พลังงาน (Resource Efficiency) ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง Air Inverter, Solar Panel, ไฟ LED ประหยัดพลังงาน และสร้างคอนโดที่เย็นสบายด้วย Cooliving Design ที่มีการเลือกใช้กระจกที่มีคุณสมบัติในการลดปริมาณความร้อนที่ถ่ายเทเข้าสู่ตัวอาคาร อีกทั้งยังช่วยป้องกันรังสียูวีและรังสีอินฟราเรดที่เป็นอันตายต่อผิวหนัง แต่ยังคงให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเพื่อให้ความสว่างภายในบ้าน ตลอดจนการก่อสร้าง เพื่อส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ควบคู่กับกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นี่ถือเป็นตัวอย่างและบทพิสูจน์ของแสนสิริ เพื่อแสดงให้เห็นพลังในการ ‘คิดใหญ่ – ทำจริง – ต่อเนื่อง’ เพื่อตอกย้ำว่า Sustainability ไม่ได้เป็นแค่แนวคิดเพียงเท่านั้น แต่เป็นกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความยั่งยืนได้ในที่สุด ขณะที่เป้าหมายมุ่งสู่ Net Zero 2050 ไม่ใช่แค่ ‘พันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม’ แต่คือ ‘กลยุทธ์การอยู่รอด’ ของทุกธุรกิจไทยบนเวทีโลก ในยุคที่กฎเกณฑ์การค้าและข้อกำหนดด้าน ESG เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจที่ปรับตัวทันและผสานความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์ ทุกองค์กร และทุกภาคส่วนต้องเริ่มลงมือ ‘ทำจริง’ ตั้งแต่วันนี้ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในระดับโลกต่อไป