ภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้ายังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ กำลังซื้อ หนี้ครัวเรือน และเสถียรภาพทางการเมืองทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร เริ่มมีสัญญาณของการแข่งขันทางด้านราคา (Price War) ที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจในปีหน้า ยังอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างเหนื่อยและมีความยากลำบากสำหรับผู้ประกอบการไทยโดยภาพรวม
คุณไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจอาหารในประเทศไทย ยังมีมนต์เสน่ห์ และเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ทั้งความหลากหลายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่สตรีทฟู้ด (Street Foods) จนถึงไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) รวมทั้งระดับราคาที่จับต้องได้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเพื่มศักยภาพทางการแข่งขันให้ประเทศไทยได้ เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว หรือธุรกิจส่งออกได้ในอนาคต
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ธุรกิจอาหารจะมีความแข็งแกร่งอยู่ภายในตัวเอง ทำให้ภาพรวมธุรกิจไม่ได้ตกลงมาก แต่ทิศทางการเติบโตในปีหน้าอาจจะยังไม่สดใสมากนัก เพราะสถาการณ์โดยรวมที่เต็มไปด้วยความท้าทายรอบด้าน ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่น้อยลง ทำให้ผู้ประกอบการต้องทำงานหนักมากขึ้น รวมทั้งต้องเร่งสปีดในการทำธุรกิจเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ให้ได้

“ปีหน้าผู้ประกอบต้องทำงานหนักขึ้นมากเป็นเท่าตัว เช่น จากที่เคยทำแคมเปญปีละ 3 ครั้ง แต่ก็ต้องทำให้มากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว หรือเคยออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทุก 3 เดือน ก็อาจจะต้องเร่งสปีดมากขึ้น ออกมากขึ้น บ่อยขึ้น และทำให้ไวขึ้น ต้องทำทุกอย่างมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งไม่ใช่เพื่อให้ธุรกิจเติบโตขึ้น แต่เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ไม่ให้สูญเสียตลาด หรือไม่ให้ยอดขายตกลงไป เรียกได้ว่า คนทำธุรกิจต้องมีความพยายามมากขึ้น ต้องทำให้เพิ่มมากขึ้นเท่าตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม หากต้องการที่จะยังคงเป็นผู้รอดได้ในปีหน้า”
สำหรับธุรกิจร้านอาหาร เทรนด์ใหญ่ที่ขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการอยู่รอดได้ พร้อมทั้งช่วยผลักดันการเติบโตและสร้างสีสันในตลาดมาหลายปีและเชื่อว่ายังเป็นเทรนด์ที่จะเติบโตต่อเนื่องต่อไปอีกในอนาคตข้างหน้าระยะยาว ได้แก่ เทรนด์เรื่องของสุขภาพ (Health & Wellness) เช่น การพัฒนาเมนูอาหาร Plant-based, การเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพอย่างเฉพาะเจาะจง หรือมีสารอาหารสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นต้น

อีกหนึ่งเทรนด์คือ เรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ธุรกิจร้านอาหารจำเป็นต้องศึกษาและปรับตัว ซึ่งไม่ใช่แค่การเลือกบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก แต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการขยะอาหารในธุรกิจ ไปจนถึงการเลือกใช้วัตถุดิบในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรในประเทศ รวมทั้งยังส่งเสริมและกระตุ้นการหมุนเวียนของระบบนิเวศของเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังช่วยลดความเสี่ยงของธุรกิจจากภาวะเงินเฟ้อ หรืออัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งความสามารถในการควบคุมต้นทุนจากการใช้วัตถุดิบนำเข้ามากเกินไปอีกด้วย

“การนำเทรนด์เรื่องความยั่งยืนมาเป็นหนึ่งแกนหลักขับเคลื่อนธุรกิจไม่เพียงตอบโจทย์เรื่องสภาพอากาศ หรือการลดคาร์บอนเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันสามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ และเชื่อว่าจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เช่น แนวทาง Localize Sourcing ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ 30% และยังนำเข้าอยู่ 70% เนื่องจากวัตถุดิบบางอย่างที่มีเฉพาะในบางพื้นที่ ประกอบกับปริมาณในการสั่งจำนวนมากซึ่งซัพพลายในประเทศยังไม่สามารถรองรับได้ แต่ในอนาคตมีแผนจะเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งต้นทุนในมิติอื่นๆ โดยเฉพาะการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนการใช้ไฟฟ้า และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงได้ราว 20-30% รวมทั้งการรวมศูนย์ระบบการจัดซื้อ และระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานโดยภาพรวมลงได้ 1-2% ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษากำไรของธุรกิจเพิ่มขึ้นที่นราว 1-2% ในทิศทางเดียวกัน”

นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์อื่นๆ ที่ธุรกิจต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อนำมาใช้เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ไปจนถึงเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น เช่น การนำดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการ ทั้งการจดรับออเดอร์ ระบบชำระเงิน หรือการจองคิวออนไลน์ การให้ความสำคัญกับประสบการณ์เพื่อสร้างความแตกต่าง ให้สอดคล้องพฤติกรรมลูกค้าคนไทยที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ และเบื่อง่าย รวมทั้งยังตอบโจทย์เทรนด์เรื่องของความคุ้มค่าและคุณภาพ ที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของราคาเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ควบคู่กับการรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารและวัตถุดิบไว้ได้ เช่น การพัฒนาเมนูอาหาร และเครื่องเดิมแบบฟิวชั่น เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการได้เพิ่มมากขึ้น

“สำหรับการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจอาหารของไทยเบฟ ยังคงมุ่งแนวทางสร้างการเติบโตผ่าน 2 แกนหลักสำคัญ คือ ‘Reach Competitively’ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ผ่านจุดแข็งในการมีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมตลาดทุกเซ็กเมนต์ ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจ ที่มีภารกิจและเป้าหมายในการรุกตลาดอย่างชัดเจนทั้ง QSA (เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย ) ที่แข็งแรงในกลุ่ม Quick Service Restaurant (QSR) ภายใต้แบรนด์ KFC , กลุ่ม Oishi สำหรับเจาะตลาดธุรกิจอาหารญี่ปุ่น และ FOA (ฟู้ด ออฟ เอเชีย) สำหรับทำตลาดกลุ่มอาหารไทย จีน และนานาชาติ รวมทั้งกลยุทธ์ ‘Digital for Growth’ ที่มุ่งนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาตอบโจทย์ธุรกิจและความต้องการของผู้บริโภค ประกอบกับการวางกลยุทธ์การทำตลาดที่ชัดเจนในแต่ละเซ็กเมนต์ เพื่อส่งมอบคุณค่า ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพและคุ้มค่า ทำให้สามารถเลี่ยงการแข่งขันด้วยสงครามราคา ที่ในอนาคตจะไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารในระยะยาว” คุณไพศาล กล่าวทิ้งท้าย






