สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ร่วมกับ กรมทรัพยากรน้ำ และองค์กรภาคี จัดงาน เวทีเสวนาวิชาการ ‘เมืองรุก โลกร้อน กับชะตาพื้นที่ชุ่มน้ำ’ ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพเมืองและธรรมชาติในการตั้งรับปรับตัวต่อวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Urban Resilience Building and Nature : URBAN)
โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมกว่า 250 คน เพื่อร่วมหารือการยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาเมืองและการรับมือวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
สำหรับโครงการ URBAN ได้รับการสนับสนุนจาก International Climate Initiative (IKI) ของรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มุ่งเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวของเมืองและภูมินิเวศโดยรอบ ผ่านการบูรณาการข้อมูลวิชาการ กระบวนการมีส่วนร่วม และเครื่องมือเชิงนโยบาย พร้อมทั้งประยุกต์ใช้แนวคิดการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน Nature-based Solutions (NbS) ในพื้นที่นำร่องจังหวัดเชียงรายและสุราษฎร์ธานี เพื่อพัฒนาต้นแบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำที่สามารถขยายผลในระดับประเทศ

ทั้งนี้ พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetland) ไม่ได้หมายความเพียงแค่บึง หรือหนองน้ำ แต่ถือเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐานตามธรรมชาติ’ (Natural Infrastructure) ที่มีบทบาทสำคัญในการกักเก็บน้ำ ลดความรุนแรงของน้ำท่วม บรรเทาภัยแล้ง ปรับคุณภาพน้ำ และดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า พื้นที่ชุ่มน้ำมีศักยภาพสูงในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ จากสภาพดินที่อิ่มน้ำ และการสะสมอินทรีย์วัตถุเป็นเวลานาน จึงช่วยชะลอการสลายตัวของคาร์บอน เปลี่ยนเป็นการกักเก็บระยะยาว จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อน
ที่สำคัญ พื้นที่ชุ่มน้ำไม่ใช่อุปสรรคในการพัฒนา แต่คือทางออกของเมืองในยุคโลกร้อน หลายเมืองใหญ่พิสูจน์ได้ว่า การปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำช่วยลดน้ำท่วม ลดความรุนแรงของภัยแล้ง และให้เมืองอยู่ร่วมกับธรรมชาติและน้ำได้อย่างยั่งยืน การปกป้อง ฟื้นฟู และบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด ช่วยให้เมืองอยู่ร่วมกับน้ำได้ และเพิ่มความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติ ด้วยกลไก นโยบาย และมาตรการที่เหมาะสม การพัฒนาโดยให้คุณค่าต่อธรรมชาติ และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง การปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำ จึงเป็นทั้งการปกป้องเมือง ชีวิต และอนาคต

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวระหว่างเปิดการประชุม โดยมองความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำที่เชื่อมโยงกับ 3 วิกฤตสำคัญที่โลกกำลังเผชิญ หรือ Triple Crisis ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษสิ่งแวดล้อม ทั้งปัญหาฝุ่น PM2.5 สารพิษ รวมทั้งขยะ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ถือเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงจากปัญหาวิกฤตสภาพอากาศเป็นลำดับต้นๆ ของโลก การมีพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetland) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรองรับน้ำหลาก เพื่อช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติ รวมทั้งช่วยดูดซับคาร์บอน และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากร จะเป็นหนึ่งแนวทางสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตด้วยหลักการทางธรรมชาติ (Nature-based Solutions)
“การบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่สำคัญทางธรรมชาติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวรับ 3 ความเสี่ยงสำคัญ แต่ต้องหาจุดสมดุลทั้งในเรื่องของการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้งทิศทางของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การขยายตัวในหลายเมืองและการก่อสร้างต่างๆ เกิดการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำที่เคยเป็นพื้นที่รับน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง ทำให้ต้องเร่งศึกษาพร้อมวางกรอบการบริหารจัดการ ภายใต้การทำงานร่วมกันทั้งจากหน่วยงานส่วนกลาง และในระดับท้องถิ่น เพื่อสามารถวางแผนให้ทั้งผังเมือง และผังน้ำ มีความสอดคล้องและเกิดการเปลี่ยนผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้การบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเมืองได้อย่างยั่งยืน “

คุณธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายสำคัญของการประชุมครั้งนี้ เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างการพัฒนาเมือง และการดูแลรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศได้อย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำในทุกระดับความสำคัญรวมกว่า 3 หมื่นแห่ง ทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญในระดับนานาชาติ (แรมซาร์ไซส์) ระดับชาติ และมีสำคัญในระดับท้องถิ่น คิดเป็นพื้นที่ราว 22.88 ล้านไร่ หรือ 7.5% ขณะที่ภารกิจและแผนยุทธศาสตร์ของกรมทรัพยากรน้ำ มุ่งสร้างความมั่นคงด้านน้ำและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำแบบบูรณาการ ที่เชื่อมโยงการวางผังเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจ และการจัดการทรัพยากรน้ำเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
“เป้าหมายสำคัญของโครงการคือ การต่อยอดแนวทางการขับเคลื่อน กระบวนการ และมาตรการในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ จากพื้นที่ต้นแบบทั้ง 2 แห่ง โดย จ.เชียงราย จะเป็นต้นแบบพื้นที่ในระบบนิเวศน้ำจืด และ จ.สุราษฎร์ธานี สำหรับระบบนิเวศน้ำกร่อย พร้อมถอดบทเรียนไปปรับใช้ในพื้นที่ชุ่มน้ำอื่นๆ ทุกรูปแบบทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งองค์ความรู้และกรอบการขับเคลื่อนที่สามารถใช้ร่วมกันได้ และแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับในแต่ละพื้นที่เพื่อนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อสร้างกรอบและกลไกในการพัฒนา สำหรับดูแลและฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำควบคู่ไปกับการพัฒนาและการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน และเป็นการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนข้อที่ 14 (SDG14) ในเรื่องการรักษาระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย”

ในช่วงปาฐกถาพิเศษ ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว ที่ปรึกษาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้สะท้อนภาพรวมสถานการณ์พื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันจากการขยายตัวของเมือง การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และสภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำจำนวนมากเสื่อมโทรมลง พร้อมเสนอให้ยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นส่วนหนึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางธรรมชาติของเมือง
ตลอดการเสวนา ผู้เข้าร่วมได้ร่วมแลกเปลี่ยนสถานการณ์พื้นที่ชุ่มน้ำจากพื้นที่จริง รวมถึงบทเรียนจากพื้นที่นำร่องและพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตเมือง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายด้านการบูรณาการแผนงาน การประสานงานข้ามหน่วยงาน และช่องว่างระหว่างนโยบายกับการปฏิบัติในระดับพื้นที่ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของเวที คือการแลกเปลี่ยน เครื่องมือทางนโยบายและกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครอง อนุรักษ์ และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยเฉพาะทิศทางของ ร่างพระราชบัญญัติพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน ครอบคลุม และเอื้อต่อการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการพัฒนาแนวทางการพิจารณาอนุมัติโครงการ และแนวทางการออกแบบโครงการด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

เวทีเสวนายังเน้นย้ำว่า การดูแลและฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ จะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มความสามารถของเมืองในการรับมือทั้งภัยแล้งและอุทกภัย ช่วยลดความเปราะบางของเมืองต่อความผันผวนของสภาพภูมิอากาศในระยะยาว จึงนับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้พื้นที่ชุ่มน้ำถูกยกระดับจาก ‘พื้นที่รองรับผลกระทบ’ ไปสู่ ‘กลไกเชิงนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานของเมือง’ ที่เชื่อมโยงการพัฒนาเมือง การจัดการทรัพยากรน้ำ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่ออนาคตของเมืองและพื้นที่ชุ่มน้ำที่ยั่งยืนร่วมกัน






