EU โหวตผ่านร่าง กม. เลิกขายรถสันดาป ภายในปี 2035 หนุนโรดแม็พ Fit for 55

สมาชิกรัฐสภา EU โหวตผ่านร่าง กม. ห้ามขายรถน้ำมันเบนซิลและดีเซลในสหภาพยุโรปภายในปี 2035 เพื่อลดการปล่อย CO2 หนึ่งในนโยบายของแพ็กเกจ Fit for 55  นับเป็นความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ EU ในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญของปัญหาภาวะโลกร้อน

เมื่อวันพุธ ที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา สมาชิกรัฐสภา EU ลงมติผ่านร่างกฏหมายห้ามขายยานพาหนะที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งเครื่องยนต์เบนซิลและดีเซล และปฏิเสธการปฏิรูปตลาดของสหภาพยุโรปใน Strasbourg ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชุดข้อกฏหมายด้านพลังงานและการดูแลสภาพภูมิอากาศ​ที่ใหญ่ที่สุดของ EU ที่เคยมีมา หรือ Fit for 55 เพื่อปกป้องผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ เป็นเวลาราว 1 ปี กับการถกประเด็นปัญหาดังกล่าว ในที่สุดสมาชิกสภา EU ก็ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยเรื่องการปกป้องสภาพภูมิอากาศจำนวน 8 ฉบับ ซึ่งเสนอให้มีการปรับปรุงเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียน ภาคการบิน วิธีการขับขี่ของผู้คน วิธีควบคุมมลพิษของประเทศต่างๆ และวิธีการจัดการด้านป่าไม้และที่ดิน เป็นต้น โดย แพ็กเกจนโยบาย Fit for 55 มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปี 1990 ให้ได้อย่างน้อย 55% ภายในปี 2030 และจะเป็นภูมิภาคแรกของโลกที่สามารถบรรลุเป้าการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050

รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปเป็นอีกปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้บรรลุเป้าหมายที่สมาชิก EU ส่วนใหญ่เล็งเห็นความสำคัญ จึงพร้อมใจกันลงมติห้ามการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 ซึ่งสวนทางกับข้อเสนอของพรรคประชาธิปไตยยุโรป ที่ต้องการจำกัดการลดลงให้เหลือ 90% โดยไม่กำหนดวันเลิกใช้ที่ตายตัว และยังเห็นชอบการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากยานพาหนะให้ได้ 55% ภายในปี 2030 เทียบกับระดับก๊าซ CO2 ในปี 2021

ด้าน Pascal Canfin ประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งรัฐสภายุโรป กล่าวว่า การยุติการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปเป็น “การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ที่จะพาเราสู่ยุคสมัยใหม่ของความเป็นกลางด้านสภาพภูมิอากาศ และนี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่”

อย่างไรก็ตาม ยุโรปนับเป็นภูมิภาคที่ปล่อยมลพิษมากเป็นลำดับที่ 3 ของโลก เราคงต้องตามกันต่อว่าหลังจากนี้จะมีประเทศไหนหรือภูมิภาคใดจะออกกฎหมายในลักษณะดังกล่าวเพื่อปกป้องสภาพภูมิอากาศของเราในอนาคตหรือไม่

source 

source

Stay Connected
Latest News