ออกมาประกาศวิสัยทัศน์อย่างเป็นทางการ หลังรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ล่าสุดของ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ ไปเมื่อ 1 พฤษภาคม 2568 สำหรับ ‘คุณสุทธิสาร จิราธิวัฒน์’ CEO บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC
การขึ้นตำแหน่งแม่ทัพ ท่ามกลางหลายปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่โลกกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อความเชื่อมั่น รวมไปถึงต้นทุนการดำเนินงานที่อาจปรับตัวขึ้น ไปจนถึงความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี แลนด์สเคปทางธุรกิจที่เปลี่ยนข้างกลับขั้ว รวมทั้งความท้าทายทั้งจากโครงสร้างประชากรโลก และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
คุณสิทธิสาร จิราธิวัฒน์ กล่าวถึงกลยุทธ์เพื่อก้าวข้ามความท้าทาย เพื่อนำพา CRC เติบโตได้อย่างแข็งแรง พร้อมเดินหน้าลงทุนตามเป้าหมายที่วางไว้ผ่านโรดแม็พ 3 ปี ภายใต้เม็ดเงินลงทุนรวม 4.5-4.7 หมื่นล้านบาท เพื่อผลักดันธุรกิจเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 5% ตลอด 3 ปี
ภายใต้กลยุทธ์ ‘New Heights, Next Growth’ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน 5 แนวทาง ประกอบด้วย
1. การเข้าใจและเข้าถึงลูกค้าได้ลึกซึ้งมากขึ้น (Reinforce Customer Focus) : เพื่อรับมือความท้าทายเรื่องพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง โดยอาศัยความแข็งแกร่งด้านข้อมูลจากแพลตฟอร์ม The 1 Loyalty Program ทั้งในไทยและเวียดนาม ที่มีสมาชิกรวมกันกว่า 26 ล้านราย โดยสามารถครอบคลุมประชากรในไทยได้กว่า 33% หรือราว 20 ล้านคน ขณะที่ในเวียดนาม 4% และหากสามารถต่อยอดการวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจและหาอินไซต์มาตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น จะเป็นโอกาสเติบโตได้มากขึ้น โดยเฉพาะการขยายฐานสู่กลุ่ม B2B และกลุ่ม Young & Mainstream ในประเทศไทย ที่มีฐานข้อมูลราวครึ่งหนึ่ง แต่ยอดการใช้จ่ายยังน้อยอยู่ หากสามารถตอบโจทย์เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายจากกลุ่มนี้ได้มากขึ้น ทั้งการจัดหาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ รวมทั้งการมีโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อได้มากขึ้น ก็จะเป็นโอกาสเพิ่มสัดส่วนการใช้จ่ายจากผู้บริโภคในกลุ่มนี้ได้เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับในเวียดนาม ที่มีช่องว่างเป็นโอกาสให้เติบโตได้อีกมาก จากจำนวนประชากรที่มีถึงกว่าร้อยล้านคน ขณะที่การเข้าถึงยังไม่มากนัก หากวางกลยุทธ์ให้เข้าถึงเพิ่มขึ้น ก็จะเพิ่มโอกาสการเติบโตในอนาคตได้อีกหลายเท่าตัว
2. การเสริมความแข็งแกร่งองค์กรจากธุรกิจหลัก (Strengthen CRC Foundation) : การผลักดันทั้งยอดขายและกำไรให้เติบโตได้ในภาพรวม ผ่านการเพิ่ม Traffic , การพัฒนาสินค้าบริการให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น (Assortment) , การเดินหน้าขยายสาขาใหม่ และปรับปรุงสาขาที่มีอยู่ ไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อยอดประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ Omnichannel ได้แบบไร้รอยต่อ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถและสร้างรากฐานทางเทคโนโลยี โดยใช้ AI เข้ามาช่วยผลักดันยอดขายออนไลน์ให้เติบโต โดยคำนึงถึงประเด็น PDPA และ Data Security เป็นสำคัญ พร้อมทั้งพัฒนาคอนเซ็ปต์สโตร์รูปแบบใหม่ เข้ามาเติมในพอร์ตโฟลิโอ ไปจนถึงตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างครอบคลุม พร้อมเร่งขยายธุรกิจ Food และ Mall ในเวียดนาม รวมถึงนำเสนอ Store Format ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเชิงลึกในแต่ละพื้นที่
“สำหรับแผนการขยายสาขาที่วางไว้ทั้งในไทย และเวียดนาม ตั้งเป้าไว้ราว 55- 59 สาขา โดยขยายในกลุ่มดีพาร์ทเม้นสโตร์ 1-2 แห่ง , กลุ่มฟู้ด (Tops) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง 25 -30 แห่ง , กลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ (ไทวัสดุ) 13 -16 แห่ง , การพัฒนาโรบินสันไลฟ์สไตล์ เพื่อให้ตอบโจทย์ตลาด Localize และขยายกลุ่มเป้าหมายมาสู่ Young & Mainstream ได้มากขึ้น รวมทั้งการบริหารจัดการตามแนวทาง Localize ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชุมชนในแต่ละโลเกชั่นมากขึ้น เช่นมีการรับสินค้าของผู้ประกอบการหรือ SME ในชุมชนเข้ามาจำหน่ายในพื้นที่มากขึ้นโดยมีแผนขยายเพิ่ม 2-3 แห่ง รวมทั้งการขยายมอลล์ GO 4-6 แห่ง และมินิโก 12-15 แห่ง”
3. การสร้าง New Growth Engine เพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตใหม่ๆ (Expedite New Growth) : โดยจะเดินหน้าขยาย GO WHOLESALE ด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การขยาย Private Labels, ก้าวสู่การเป็น HORECA Destination สำหรับกลุ่มธุรกิจอาหาร, เป็นผู้นำเรื่องของสด (Always Fresh-Forward), ขยายสาขาอีกกว่า 12-18 สาขา ภายใน 3 ปี และการพัฒนา New Store Concept และ Fulfillment Store ให้เหมาะกับกลุ่ม HORECA และค้าปลีกอาหาร นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายเครือข่ายธุรกิจของ Auto1 ศูนย์บริการและจำหน่ายอุปกรณ์รถยนต์ครบวงจร ด้วยการเร่งเปิดสาขาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 10 สาขาต่อปี ให้ครอบคลุมในทำเลศักยภาพ
4. เดินหน้าสร้างความร่วมมือทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร (Scale Synergy) : มุ่งเน้นการทำงานร่วมกับธุรกิจภายในเครือเซ็นทรัล รีเทล และเซ็นทรัลกรุ๊ป ทั้งเพื่อเพิ่มยอดขาย และผลักดันการทำงานร่วมกันของพนักงานในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน ตลอดจนการบริหารพื้นที่ขายให้ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมเพิ่มผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ด้วยโมเดล Mix-used และ Hybrid Retail Store
5. บริหารการเงินอย่างรอบคอบ (Disciplined Financial Management) : เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยควบคุมค่าใช้จ่าย เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ ปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องและยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ พร้อมบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น
ผสานปรัชญา CRC Care โฟกัส ‘เติบโตอย่างยั่งยืน’
นอกจากการขับเคลื่อน 5 กลยุทธ์หลัก เพื่อเติบโตตามเป้าหมายโรดแม็พ 3 ปี แล้ว ทาง CRC ยังให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนปรัชญา ‘CRC Care’ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว และตอบโจทย์การขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต
โดยมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจที่คำนึงถึงการผนึกกำลังและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ Stakeholders ทั้ง 7 มิติ อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า (Customer) คู่ค้า (Partner) ชุมชน (Community) ส่ิงแวดล้อม (Environment) ธรรมาภิบาล (Governance) ผู้คนและสังคม (People) และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต (Economy) ซึ่งถือเป็นการโฟกัสรากฐานที่แข็งแรงเพื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว โดยมีเป้าหมายสู่การบรรลุ Net zero ในปี 2593
“การขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งมิติที่ CRC ให้ความสำคัญ และจะมุ่งมั่นขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนผ่าน 3 มิติหลัก ที่สามารถวัดผลและจับต้องผลกระทบเชิงบวกออกมาเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย ด้านพลังงาน (Energy) สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ Renewable จากการใช้พลังงานทั้งหมดได้แล้ว 16% จากการติดตั้งโซลาร์เซลล์รวมกว่า 160 แห่ง สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 1.67 แสนเมกะวัตต์ รวมทั้งการหันมาใช้รถขนส่งไฟฟ้าในกระบวนการโลจิสติกส์รวม 76 คัน เทียบเท่าการใช้ระกระบะเล็กในการขนส่งกว่า 500 คัน นอกจากนี้ยังมีกระบวนการ Waste Management ที่สามารถช่วยบริหารจัดการและแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลได้รวมกว่า 9.2 ตัน ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่จะไปสู่หลุมฝังกลบได้ราว 19% รวมทั้งมิติ Social & Suppliers ที่สามารถสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย SME หรือรัฐวิสาหกิจชุมชนต่างๆ เพื่อนำมาสินค้ามาจำหน่ายผ่านช่องทางในเครือเซ็นทรัล โดยในปีที่ผ่านมา มีการส่งเสริมเพื่อกระจายรายได้ให้กลุ่มธุรกิจชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศรวมแล้วกว่า 814 ล้านบาท พร้อมส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน และจะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสามารถขยายการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ครอบคลุมทุกมิติได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน พนักงาน และลูกค้าให้เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืนไปพร้อมกัน”