Top StoriesTrending

‘สุทธิสาร จิราธิวัฒน์’ CEO ใหม่ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ วางโรดแม็พ 3 ปี ลงทุน​ 4.5-4.7 หมื่นล้าน สร้าง ‘New Heights, Next Growth’ พร้อมกระจายเม็ดเงินลงชุมชนได้แล้ว​ 814 ล้านบาท ​

เซ็นทรัล รีเทล วางโรดแม็พ 3 ปี เติบโตต่อเนื่องปีละ 5%​ ผ่าน​เงินลงทุน 4.5 -4.7 หมื่นล้าน ตามกลยุทธ์ 'New Heights, Next Growth' มุ่ง​ขยายกลุ่มเป้าหมาย Young & Mainstream มากขึ้น พร้อมขับเคลื่อนนโยบายยั่งยืนต่อเนื่อง

ออกมาประกาศวิสัยทัศน์อย่างเป็นทางการ หลังรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ล่าสุดของ ‘เซ็นทรัล รีเทล’  ไปเมื่อ 1 พฤษภาคม 2568  สำหรับ ‘คุณสุทธิสาร จิราธิวัฒน์’  CEO บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC

การขึ้นตำแหน่งแม่ทัพ ท่ามกลางหลายปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่โลกกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อความเชื่อมั่น รวมไปถึงต้นทุนการดำเนินงานที่อาจปรับตัวขึ้น ไปจนถึงความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ​แลนด์สเคปทางธุรกิจที่เปลี่ยนข้างกลับขั้ว รวมทั้งความท้าทายทั้งจากโครงสร้างประชากรโลก และ​พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

คุณสิทธิสาร จิราธิวัฒน์ กล่าวถึงกลยุทธ์เพื่อก้าวข้ามความท้าทาย  เพื่อนำพา CRC เติบโตได้อย่างแข็งแรง พร้อมเดินหน้าลงทุนตามเป้าหมายที่วางไว้ผ่านโรดแม็พ 3 ปี ภายใต้เม็ดเงินลงทุนรวม 4.5-4.7 หมื่นล้านบาท เพื่อผลักดันธุรกิจเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 5% ตลอด 3 ปี

ภายใต้กลยุทธ์ ‘New Heights, Next Growth’ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน 5 แนวทาง ประกอบด้วย

1. การเข้าใจและเข้าถึงลูกค้าได้ลึกซึ้งมากขึ้น (Reinforce Customer Focus) : เพื่อรับมือความท้าทายเรื่องพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง โดยอาศัยความแข็งแกร่งด้านข้อมูลจากแพลตฟอร์ม The 1 Loyalty Program ทั้งในไทยและเวียดนาม ที่มีสมาชิกรวมกันกว่า 26 ล้านราย โดยสามารถครอบคลุมประชากรในไทยได้กว่า 33% หรือราว 20 ล้านคน ขณะที่ในเวียดนาม 4%  และหากสามารถต่อยอดการวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจและหาอินไซต์มาตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น จะเป็นโอกาสเติบโตได้มากขึ้น โดยเฉพาะการขยายฐานสู่กลุ่ม B2B และกลุ่ม Young & Mainstream ในประเทศไทย ที่มีฐานข้อมูลราวครึ่งหนึ่ง แต่ยอดการใช้จ่ายยังน้อยอยู่ หากสามารถตอบโจทย์เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายจากกลุ่มนี้ได้มากขึ้น ทั้งการจัดหาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ รวมทั้งการมีโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อได้มากขึ้น ก็จะเป็นโอกาสเพิ่มสัดส่วนการใช้จ่ายจากผู้บริโภคในกลุ่มนี้ได้เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับในเวียดนาม ที่มีช่องว่างเป็นโอกาสให้เติบโตได้อีกมาก จากจำนวนประชากรที่มีถึงกว่าร้อยล้านคน ขณะที่การเข้าถึงยังไม่มากนัก หากวางกลยุทธ์ให้เข้าถึงเพิ่มขึ้น ก็จะเพิ่มโอกาสการ​เติบโตในอนาคตได้อีกหลายเท่าตัว

2. การเสริมความแข็งแกร่งองค์กรจากธุรกิจหลัก ​​(Strengthen CRC Foundation) :  การผลักดันทั้งยอดขายและกำไรให้เติบโตได้ในภาพรวม ผ่านการเพิ่ม​ Traffic , การพัฒนาสินค้าบริการให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น (Assortment) , การเดินหน้าขยายสาขาใหม่ และปรับปรุงสาขาที่มีอยู่ ​ไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อยอดประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ Omnichannel ได้แบบไร้รอยต่อ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถและสร้างรากฐานทางเทคโนโลยี โดยใช้ AI เข้ามาช่วย​​ผลักดันยอดขายออนไลน์ให้เติบโต โดยคำนึงถึงประเด็น PDPA และ Data Security เป็นสำคัญ พร้อมทั้งพัฒนาคอนเซ็ปต์สโตร์รูปแบบใหม่ เข้ามาเติมในพอร์ตโฟลิโอ ไปจนถึงตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างครอบคลุม พร้อมเร่งขยายธุรกิจ Food และ Mall ในเวียดนาม รวมถึงนำเสนอ Store Format ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเชิงลึกในแต่ละพื้นที่

“สำหรับแผนการขยายสาขาที่วางไว้ทั้งในไทย และเวียดนาม ตั้งเป้าไว้ราว 55- 59 สาขา โดยขยายในกลุ่มดีพาร์ทเม้นสโตร์ 1-2 แห่ง ,​ กลุ่มฟู้ด (Tops) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง 25 -30 แห่ง , กลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ (ไทวัสดุ) 13 -16 แห่ง ,​ การพัฒนาโรบินสันไลฟ์สไตล์ เพื่อให้ตอบโจทย์ตลาด Localize และขยายกลุ่มเป้าหมายมาสู่ Young & Mainstream ได้มากขึ้น รวมทั้งการบริหารจัดการตามแนวทาง Localize ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชุมชนในแต่ละโลเกชั่นมากขึ้น  เช่นมีการรับสินค้าของผู้ประกอบการหรือ SME ในชุมชนเข้ามาจำหน่ายในพื้นที่มากขึ้นโดยมีแผนขยายเพิ่ม 2-3 แห่ง รวมทั้งการขยายมอลล์ GO 4-6 แห่ง และมินิโก​ 12-15 แห่ง”​

3. การสร้าง New Growth Engine  เพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตใหม่ๆ (Expedite New Growth) : โดยจะเดินหน้า​​ขยาย GO WHOLESALE ด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การขยาย Private Labels, ก้าวสู่การเป็น HORECA Destination สำหรับกลุ่มธุรกิจอาหาร, เป็นผู้นำเรื่องของสด (Always Fresh-Forward), ขยายสาขาอีกกว่า 12-18 สาขา ภายใน 3 ปี และการพัฒนา New Store Concept และ Fulfillment Store ให้เหมาะกับกลุ่ม HORECA และค้าปลีกอาหาร นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายเครือข่ายธุรกิจของ Auto1 ศูนย์บริการและจำหน่ายอุปกรณ์รถยนต์ครบวงจร ด้วยการเร่งเปิดสาขาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 10 สาขาต่อปี ให้ครอบคลุมในทำเลศักยภาพ

4. เดินหน้าสร้างความร่วมมือทั้งจากภายในและภายนอก​องค์กร (Scale Synergy) :  ​มุ่งเน้นการทำงานร่วมกับธุรกิจภายในเครือเซ็นทรัล รีเทล และเซ็นทรัลกรุ๊ป ทั้งเพื่อเพิ่มยอดขาย และผลักดันการทำงานร่วมกันของพนักงานในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน ตลอดจนการบริหารพื้นที่ขายให้ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมเพิ่มผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ด้วยโมเดล Mix-used และ Hybrid Retail Store

5. บริหารการเงินอย่างรอบคอบ (Disciplined Financial Management) :  เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยควบคุมค่าใช้จ่าย เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ ปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องและยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ พร้อมบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น

ผสานปรัชญา CRC  Care โฟกัส ‘เติบโตอย่างยั่งยืน’

นอกจากการขับเคลื่อน 5 กลยุทธ์หลัก เพื่อเติบโต​ตามเป้าหมายโรดแม็พ 3 ปี แล้ว ทาง CRC ยังให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนปรัชญา ‘CRC Care’ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว และตอบโจทย์การขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต

โดยมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจที่คำนึงถึงการผนึกกำลังและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ Stakeholders ​ทั้ง 7 มิติ อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า (Customer) คู่ค้า (Partner) ชุมชน (Community) ส่ิงแวดล้อม (Environment) ธรรมาภิบาล (Governance) ผู้คนและสังคม (People) และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต (Economy) ซึ่งถือเป็นการโฟกัสรากฐานที่แข็งแรงเพื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว โดยมีเป้าหมายสู่การบรรลุ Net zero ในปี 2593 ​

“การขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งมิติที่ CRC ให้ความสำคัญ และจะมุ่งมั่นขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนผ่าน​ 3 มิติหลัก ที่สามารถวัดผลและจับต้องผลกระทบเชิงบวกออกมาเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย ด้านพลังงาน (Energy) สามารถเพิ่มสัดส่วน​การใช้ Renewable ​จากการใช้พลังงานทั้งหมดได้แล้ว 16% จากการติดตั้งโซลาร์เซลล์รวมกว่า 160 แห่ง ​สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 1.67 แสนเมกะวัตต์ รวมทั้งการหันมาใช้รถขนส่งไฟฟ้าในกระบวนการโลจิสติกส์รวม 76 คัน เทียบเท่าการใช้ระกระบะเล็กในการขนส่งกว่า 500 คัน นอกจากนี้ยังมีกระบวนการ ​Waste Management ที่สามารถช่วยบริหารจัดการและแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลได้รวมกว่า 9.2 ตัน ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่จะไปสู่หลุมฝังกลบได้ราว 19% รวมทั้งมิติ Social & Suppliers ที่สามารถสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย SME หรือรัฐวิสาหกิจชุมชนต่างๆ เพื่อนำมาสินค้ามาจำหน่ายผ่านช่องทางในเครือเซ็นทรัล โดยในปีที่ผ่านมา มีการส่งเสริมเพื่อกระจายรายได้ให้กลุ่มธุรกิจชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศรวมแล้วกว่า 814 ล้านบาท พร้อมส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน และจะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสามารถขยายการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ครอบคลุมทุกมิติได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน พนักงาน และลูกค้าให้เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืนไปพร้อมกัน” ​