ไทยเบฟ ปักธง Net Zero ปี 2583 พร้อมแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแบบ 3 x 3

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ “ไทยเบฟ” ประกาศขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนโครงการและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาธิบาล  ตั้งเป้าบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ภายในปี 2583 (2040)

ทั้งนี้ กลุ่มไทยเบฟวางเป้าหมายในการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างครบวงจรที่มั่นคงและยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียน (Stable and Sustainable ASEAN Leader)​ ภายใต้ PASSION 2025 ที่ได้เคยประกาศไว้ พร้อมแนวทางในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจในไทยและในภูมิภาค หรือ Enabling Sustainable Growth ​เพื่อช่วยให้กลุ่มไทยเบฟสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมกับเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจ รวมถึงปกป้องสิ่งแวดล้อม สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น และยกระดับการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งสอดคล้องกับกรอบ ESG ในการขับเคลื่อนโลกธุรกิจจากนี้ที่ต้องคำนึงทั้งเรื่องของ Environment Social และ Governance 

คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า ไทยเบฟมุ่งมั่นสรรสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ตามแนวทาง Enabling Sustainable Growth​ ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริฯ​ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) 17 ข้อ โดยได้ตั้งเป้าหมายผ่าน 3 ด้านหลัก ซึ่งแต่ละด้าน จะมีอีก 3 เป้าหมาย​​ ที่ทางกลุ่มต้องขับเคลื่อนให้ได้ตามแผนประกอบด้วย

 

ด้านสิ่งแวดล้อม

– ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากการดำเนินงานของกลุ่ม (Scope 1) และจากพลังงานที่กลุ่มซื้อมา (Scope 2) ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2583

– คืนน้ำสู่ธรรมชาติและชุมชนให้ได้ 100% ภายในปี 2583

– ส่งมอบผลกระทบสุทธิเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ด้านสังคม

– เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานให้ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 90% ภายในปี 2573

– 80% ของรายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต้องมาจากเครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพภายในปี 2573

– แบ่งปันและสร้างคุณค่าแก่สังคมผ่านเสาหลัก 5 ประการ ได้แก่ การศึกษา สาธารณสุข กีฬา ศิลปะและวัฒนธรรม และการพัฒนาชุมชนและสังคม ​

การบริหารจัดการภายใต้หลักธรรมาภิบาล

– วางมาตรฐานด้านการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มไทยเบฟ

– 100% ของคู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์ต้องมีการจัดทำและบังคับใช้จรรยาบรรณสำหรับคู่ค้าของตนเอง

– ผสานความร่วมมือสู่ผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล

“การขับเคลื่อนตามแนวทางความยั่งยืนทำให้บริษัทยังคงรักษาการเติบโตได้ทั้งรายได้และกำไร แม้จะต้องเจอความท้าทายรอบด้าน โดยรายได้จากการขายในช่วง 9 เดือนแรกของกลุ่ม เพิ่มขึ้น​ 8.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือมีรายได้ 207,922 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าตัวเลขในช่วงเดียวกันตลอดสามปีที่ผ่านมา ขณะที่การเติบโตจากนี้จะหันมาเน้นการสร้างความแข็งแรงจากภายใน  มากกว่าการทำ M&A ทั้งการลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร โดยเฉพาะการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายสู่ Net zero และยังดีต่อสิ่งแวดล้อม ท้ังการเพิ่มการใช้พลังงานสะอาด จากไบโอแมส การติดต้ังหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์  การเพิ่มสัดส่วนรถ EV สำหรับการขนส่งในธุรกิจให้ได้ 1 ใน 3  รวมทั้งเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้ง 3 ด้าน และอีก 3 หมุดหมายของแต่ละด้านที่วางไว้ ภายใต้งบลงทุนโดยรวมกว่า 5,000 – 8,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการลงทุนในเรื่องของดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทั้งในมิติของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย (Products) ช่องทางที่ครอบคลุม (Channels) ระบบการขนส่ง (Logistics) และระบบการผลิต (Processes) ที่มีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนได้​ รวมไปถึงการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ (Consumer Experience)” คุณฐาปน กล่าว

ขับเคลื่อนต่อเนื่องสู่เป้าหมาย

คุณต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ กล่าวว่า ปัจจุบันทางกลุ่มได้ดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนผ่านหลากหลายโครงการสำหรับการดำเนินงานในประเทศไทย โดยในปี 2564 ไทยเบฟบรรลุเป้าหมายแล้ว ดังนี้

– บรรลุเฟสที่ 1 ของโครงการติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของโรงงาน (Solar Rooftop) ในไทย 5 แห่ง

– ขยายโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเป็น 7 แห่ง สำหรับผลิตพลังงานความร้อนจากการเผาน้ำกากส่าซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการกลั่นแอลกอฮอล์ เพื่อใช้เป็นพลังงานในโรงงานแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

– เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในองค์กรเป็น 8%

– ลดการใช้น้ำลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับพื้นที่ที่มีการดึงน้ำจากแหล่งน้ำมาใช้มาก (water-stressed area)

– ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ Scope 2 ลงได้ 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน

– เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 เป็นครั้งแรก โดยมีหน่วยงานภายนอกร่วมยืนยัน

– นำขยะอาหารและของเสียอื่นๆ จำนวน 2% กลับมาใช้ใหม่เพื่อวัตถุประสงค์อื่น

– นำบรรจุภัณฑ์สินค้าจำนวน 82% กลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิล (Reuse and Recycle)

“สิ่งที่ทางกลุ่มจะขับเคลื่อนต่อไปนี้ คือ การเร่งสปีดสู่ Next Step เพื่อพิชิตเป้าหมายหลักที่วางไว้ในปี 2583 โดยเฉพาะในมิติของสิ่งแวดล้อมที่มีทิศทางชัดเจน เพียงแค่เพิ่มความเข้มข้นและขยายให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งธุรกิจที่อยู่ภายในประเทศไทยรวมทั้งที่มีอยู่ในต่างประเทศด้วย เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้ครบทุกแห่ง ทั้ง 7 ประเทศ ทั้งในสหราชอาณาจักร (สก๊อตแลนด์) จีน ไทย เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และเมียนมาร์ ซึ่งปัจจุบันโรงงานในต่างประเทศก็มีการติดตั้งแล้วเช่นกัน ขณะที่การนำรถ EV มาใช้ในการขนส่งคาดว่าจะมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ภายในอีก 2 ปี ก่อนจะขยายให้ครบทั้ง 100% รวมทั้งความท้าทายด้าน Waste Management ทั้งการลดการใช้ รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อลดความสูญเสีย​ ไม่ว่าจะเป็นจากกระบวนการผลิต ภายในซัพพลายเชน รวมทั้งการเก็บกลับหลังจากการบริโภค โดยเฉพาะในส่วนของบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะสัดส่วนในกลุ่มพลาสติกที่ต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่แก้ว อะลูมิเนียม และกระดาษ สามารถจัดการได้ในระดับดีแล้ว”​​

อย่างไรก็ตาม ความโดดเด่นและแตกต่างในการขับเคลื่อนความยั่งยืนของกลุ่มไทยเบฟ จะเน้นการสร้างแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างความร่วมมือให้กับคนที่มีเป้าหมายและความเชื่อที่ต้องการในการขับเคลื่อนเรื่องใดเรื่องหนึ่งร่วมกัน มากกว่าการทำแต่เพียงลำพังเพื่อให้เกิดพลังเชิงบวกในการขับเคลื่อน ซึ่งความท้าทายจะอยู่ที่การมองหาสิ่งที่ยังเป็นปัญหาหรือยังขาดอยู่ เพื่อมาดูว่าจะสามารถเติมเต็มในมิติไหนได้อย่างไรบ้าง สะท้อนได้จากแนวทางในการขับเคลื่อนเพื่อสังคมในรูปแบบต่างๆ ของกลุ่มไทยเบฟ ที่ผ่านมา เช่น โครงการประชารัฐ การจัดงาน Suatainability Expo หรือการสนับสนุนรายการ Win WIn War Thailand เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจแบ่งปัน ​ด้วยความเชื่อว่าการขับเคลื่อลกลไกทางธุรกิจสามารถสร้างช่วยเติมเต็มให้ผู้คนและสังคม เป็นต้น

ผู้นำมาตรฐาน DJSI ในกลุ่มเครื่องดื่ม 4 ปีซ้อน

หนึ่งในความภาคภูมิใจของกลุ่มไทยเบฟ คือ การได้รับคัดเลือกเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มภายใต้ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ถึง 4 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2564 ไทยเบฟได้คะแนน 90 จาก 100 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในบรรดาบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่เข้าร่วมรับการประเมิน โดยได้คะแนนสูงสุดในด้านสังคม การกำกับดูแล และเศรษฐกิจ และได้คะแนนสูงเป็นอันดับสองในด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืน DJSI World เป็นปีที่ 5 และ DJSI Emerging Markets เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

รวมถึงความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประชารัฐรักสามัคคี ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชน เพื่อสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น สร้างอาชีพและรายได้ รวมถึงเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับเยาวชน โดยมุ่งเน้นการทำงานใน 3 กลุ่มงาน ได้แก่ ภาคการเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า และการท่องเที่ยว ซึ่งในปัจจุบันได้สร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้วมากกว่า 1,690 ล้านบาท โดยในปี 2564 ไทยเบฟได้ดำเนินกิจกรรมมากมายภายใต้โครงการประชารัฐรักสามัคคี เช่น โครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย และโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย

ไทยเบฟ ตั้งมั่นว่าจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการแสวงหาการเติบโตและความมั่นคงทางธุรกิจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพันธกิจ “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต”

 

Stay Connected
Latest News