‘Sustainability is Core!’​ ความยั่งยืน กับ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ สู่ต้นแบบค้าปลีกยั่งยืนรายแรกของไทย และ Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย

สำหรับทุกธุรกิจแล้ว Cash หรือ ‘กระแสเงินสด’ เป็นปัจจัยสำคัญของการขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต จนมีคำกล่าวว่า ‘Cash is King’ ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำธุรกิจในยุค New Era นี้  ไม่สามารถมองแค่มุมของการเติบโตจากฟากฝั่งของธุรกิจเพียวๆ ได้อีกต่อไป แต่ต้องขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลผลกระทบทั้งในมิติของทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างรอบด้าน

ทำให้ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)​ หรือ CRC ได้วางนโยบายเรื่องของความยั่งยืนเป็น 1 ใน 6 เรื่องสำคัญเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนสู่​ Green & Sustainable Retail หรือองค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนเป็นรายแรกของประเทศไทย  ที่ได้บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ 5 ปี CRC Retailligence ซึ่งตามแผนดังกล่าว CRC วางรายได้ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า หรือมีรายได้กว่า 2.7 แสนล้านบาท ภายใต้งบลงทุนตลอดทั้งแผน ที่วางไว้ 1.5 แสนล้านบาท

คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า Sustainability is core เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง​สู่  The Next Sustainable Growth ไม่ต่างกับความแข็งแกร่งในการสร้างการเติบโตจากฝั่งของยอดขายและกำไร  โดยทั้ง 6 ปัจจัยสำคัญ ที่ CRC จะต้องโฟกัสเพื่อสร้างจุดแข็ง ประกอบด้วย ความแข็งแรงของแพลตฟอร์มออมนิชาแนลภายในระบบนิเวศของธุรกิจค้าปลีก (Next-Gen Omni Retail) การเติบโตอย่างมีการโฟกัส (Growth Focused) การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแพลตฟอร์ม (Platform of Trust) การสร้างสรรค์ความยูนิคและแตกต่าง (Differentiated Value Creation) การพัฒนาศักยภาพคน (People Advantage) รวมทั้ง การขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน (Sustainability at the Core) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน

โดยในปีนี้จะได้เห็นความเข้มข้นในการขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น ผ่านเม็ดเงินสำหรับลงทุนเพื่อตอกย้ำความจริงจังในการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไว้เกือบ 3,000 ล้านบาท หรือราว 10% จากเม็ดเงินลงทุนสำหรับปี 2566 ที่กว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ผ่านกลยุทธ์ ReNEW โดยขับเคลื่อน 4 มิติ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Reduce greenhouse gases) การมุ่งสร้างชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้คน (Navigate society well being) การใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco friendly packaging) และการบริหารจัดการขยะจากการดำเนินธุรกิจ (Waste management)

“การลงทุนด้าน Green Investment จะมีทั้งในรูปแบบของการติดตั้ง​อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ หรือการเข้าไปปรับปรุงในกระบวนการทำงานหรือระบบปฏิบัติการต่างๆ ​ซึ่งจะส่งผลต่อธุรกิจใน 2 มิติ ทั้งการขับเคลื่อนเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านให้ธุรกิจมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายระยะยาวเพื่อพิชิต Net Zero ภายในปี 2593 และเป้าหมายระยะสั้นในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 30% ภายในสิ้นปีนี้  ซึ่งขณะเดียวกัน ก็จะช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจได้อีกทางหนึ่ง โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดต้นทุนพลังงานค่าไฟลงได้ราว 40% และมีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น รวมถึงลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ 10% ลดการใช้น้ำ 10%​ และเพิ่มการจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 20% ของสินค้าทั้งหมด พร้อมการใช้ Eco Packagong และสนับสนุนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากการปลูกป่าอีก 5,000 ไร่ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ได้ตามแผน”​​

ผู้นำ Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย

สำหรับปี 2565 ที่ผ่านมา CRC สร้างความสำเร็จในการขยายพอร์ตธุรกิจให้เติบโตทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ และเฮลธ์แอนด์เวลเนส โดยสร้างรายได้รวมเติบโตมากกว่า 20% ถือเป็นผลประกอบการที่เกินเป้าที่ตั้งไว้ในปี 2565 ขณะที่ในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 15% ด้วยงบลงทุนกว่า 28,000 ล้านบาท เพื่อสร้างให้เซ็นทรัล รีเทล ให้เป็นเบอร์หนึ่งในฐานะ Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย

“การเพิ่มความแข็งแรงในการเป็น ​Next-Gen Omni Retail เพื่อยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบต่างๆ ที่ดีที่สุดจากทั่วโลก มาสร้างการเติบโตแบบ Inclusive Growth ให้ทั้งลูกค้า แบรนด์ และพาร์ทเนอร์ บนแพลตฟอร์มเพื่อให้สามารถส่งมอบทั้งสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่ดี และแตกต่างให้ลูกค้า เพื่อตอกย้ำความเป็นซิกเนเจอร์ของเซ็นทรัลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันรายได้จากช่องทางออมนิชาแนลของเซ็นทรัล ทำสัดส่วนได้ 18% ของยอดขาย คาดว่าจะสามาถเพิ่มเป็น 25% ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า”

นอกจากนี้  จะเร่งสร้างการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจในทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ไทย และอิตาลี โดยเฉพาะการสร้างฐานที่แข็งแกร่งให้เวียดนาม ที่จะสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้า GO! ที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน โดยคาดว่าจะขยายสัดส่วนยอดขายให้เพิ่มมากขึ้นเป็นกว่า 30% ขณะที่ในไทยจะอยู่ที่ 65% และอิตาลีราว 4-5% รวมทั้งโอกาสในการขยายตัวของค้าปลีกในเวียดนามมาสู่การเป็นออมนิชาแนลในอนาคต จากช่องทางการขยายตัวของโมเดิร์นเทรดที่ยังสูงอีกมาก เพราะยังมีสัดส่วนอยู่ราว 5-10% ของตลาดเท่านั้น

รวมทั้งการหาโอกาสต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อเสริมทัพธุรกิจในประเทศไทยและเวียดนาม รวมถึงแนวทางในการ Spin off ธุรกิจที่มีศักยภาพให้สามารถเติบโตด้วยตัวเอง เนื่องจากการอยู่ใต้บริษัทแม่ อาจเป็นการจำกัดศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจได้ รวมท้ังยังช่วยลดภาระทางการเงินให้แก่บริษัทแม่ สำหรับการขยายธุรกิจกลุ่มดาวรุ่งต่างๆ ​ซึ่งตามแผน เตรียมนำ MEB เบอร์ 1 แพลตฟอร์ม E-Book เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นี้

Stay Connected
Latest News