เมื่อเดือนที่ผ่านมา สำนักข่าว BBC รายงานว่า ธารน้ำแข็งคุมบู (Khumbu) ที่เบสแคมป์ (ฐานที่พักสำหรับนักปีนเขา) บริเวณเชิงเขาเอเวอเรสต์ ในประเทศเนปาล กำลังละลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ทำให้เนปาลต้องเตรียมย้ายเบสแคมป์ไปยังพื้นที่อื่น
Scott Watson นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลีดส์ กล่าวว่า “เราเห็นหินที่ตกลงมาและการเคลื่อนไหวของน้ำที่ละลายมากขึ้น บนพื้นผิวของธารน้ำแข็งที่อาจเป็นอันตรายได้”
การละลายของธารน้ำแข็งทำให้เบสแคมป์ดังกล่าวไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ทั้งนี้ นักปีนเขายังพบอีกด้วยว่า รอยแตกตามพื้นธารน้ำแข็งเกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน และคาดว่าน้ำแข็งจะพังทลายลงมามากขึ้นเรื่อยๆ
ด้าน Khimlal Gautam ให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อการละลายของธารน้ำแข็ง แต่จำนวนคนมาที่เยือนเบสแคมป์ ยังเพิ่มโอกาสให้เกิดการพังทลายของธารน้ำแข็งได้ด้วยเช่นกัน “เราพบว่าคนที่มาเยือนปัสสาวะที่เบสแคมป์ราวๆ 4,000 ลิตรต่อวัน และเชื้อเพลิงอย่างคีโรซีนและแก๊สที่ใช้สำหรับหุงต้มและสร้างความอบอุ่น ยังส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย”
การละลายของธารน้ำแข็งตามเบสแคมป์ต่างๆ ยังส่งผลให้สภาพโดยรวมของเทือกเขาเอเวอเรสต์เสื่อมโทรมลงไปด้วย โดยการละลายของธารน้ำแข็งเหล่านี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี แต่กว่ามันจะกลับคืนสู่สภาพเดิมกลับต้องใช้เวลาหลายร้อยปีเลยทีเดียว ทำให้การปีนเขาเอเวอเรสต์กลายเป็นเรื่องที่อันตรายมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ การละลายของน้ำแข็ง ยังทำให้เราได้เห็นอีกว่าภายใต้น้ำแข็งที่กำลังละลายอยู่นั้น มีทั้งศพนักปีนเขาคนก่อนๆ ที่ถูกฝังไว้ และขยะจำนวนมากที่ถูกทิ้งทับถม
อย่างไรก็ตาม ด้านทางการเนปาลอยู่ระหว่างการถกประเด็นกับผู้มีส่วนได้เสียเพื่อย้ายเบสแคมป์ไปยังพื้นที่อื่นให้ได้ภายในปี 2024
