SHR เครือสิงห์ เอสเตท เดินหน้าเพิ่ม Biodiversity ​30% เติมจุดขายเสริมพอร์ตโฟลิโอ ​หนุนรายได้ฝั่ง Non-room เติบโตรับเทรนด์โลก

การประกาศแผนขับเคลื่อนธุรกิจของ SHR หรือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทระดับนานาชาติ ในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) นอกจากประกาศ​เป้าหมาย​เชิง Performance ที่ต้องการ​ผลักดันรายได้ให้เติบโตแตะ 12,000 ล้านบาท พร้อมเพิ่มระดับกำไร EBITDA Margin ให้เติบโต 3-5% ตามปกติแล้ว

ยังมีแผนขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ​ภายใต้แนวทาง Nature-based Solutions ซึ่งขับเคลื่อนผ่าน 2 มิติ ประกอบด้วย การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในธุรกิจ รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ​มากขึ้น 30% ครอบคลุมพื้นที่โครงการ โดยตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้ง 2 มิติ ได้ภายในปี 2030

คุณไมเคิล มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายให้การดำเนินธุรกิจของ​เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ท้ังการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด โดยวาง​เป้าหมายสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี 2030 พร้อมตั้งเป้าลดการปลดปล่อยคาร์บอนลงในอัตรา 5% ต่อปี ตามแผน NDC Roadmap ของประเทศ ด้วยการเดินหน้า​ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในกลุ่มโรงแรม ทั้งในไทยและมัลดีฟส์ รวมถึง โซ/ มัลดีฟส์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 20%

เสริมแกร่งพอร์ตโฟลิโอผ่าน Biodiversity 

ขณะที่อีกด้านหนึ่งจะมุ่งส่งเสริมการสร้างผลกระทบเชิงบวก ผ่านการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ Biodiverdity มากขึ้นอีก 30% ภายในปี 2030 เช่นเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้ขับเคลื่อนโครงการอนุรักษ์พันธุ์สิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ ภายในพืนที่โดยรอบที่โครงการตั้งอยู่ และสามารถพบสิ่งมีชีวิต 21 ชนิด ที่อยู่ในกลุ่ม Red list หรือ​กลุ่มบัญชีแดงเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) อยู่บ่อยครั้งในพื้นที่โครงการ

นอกจากนี้ ​ยังได้ร่วมลงนาม MoU​ กับกระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ของรัฐบาลมัลดีฟส์ เพื่อสนับสนุนพื้นที่อนุรักษ์นอกพื้นที่คุ้มครอง (Other Effective Area-Based Conservation Measures: OECMs) ภายในโครงการครอสโร้ดส์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 3.1 ล้านตารางเมตร หรือกว่า 31% ของพื้นที่โครงการ โดยพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรอินเดีย

“แผน​ขับเคลื่อนความยั่งยืนมีส่วน​ส่งเสริม​การเติบโตได้ตามเป้าหมายของ SHR เนื่องจาก Destination ส่วนใหญ่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวกลุ่ม Blue tourism ที่นอกจากบรรยากาศ และความสวยงามตาม​ธรรมชาติแล้ว การมีความหลากหลายทางชีวภาพยังสามารถเพิ่ม Attraction ที่ช่วยส่งเสริมประสบการณ์ที่แตกต่างให้ผู้เข้าพักได้มากขึ้น เช่น การศึกษาเส้นทางธรรมชาติ​ทาง Biological หรือ Ecological ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทรนด์การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และ​ SHR ได้ครีเอทกิจกรรมผ่านศูนย์เรียนรู้ทางทะเลในโครงการทั้งที่เกาะพีพี และมัลดีฟส์ ​​โดยตั้งเป้าต้อนรับผู้เข้าชมตลอดทั้งปีมากกว่า 5 หมื่นคน รวมไปถึง​​​กิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม​ชุมชน ​การใช้ผลผลิตและวัตถุดิบที่ปลูกและจัดหาจากท้องถิ่น เพื่อนำเสนอเมนูจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร (Farm to Table) และอาหารทะเลสดใหม่แก่แขกที่เข้าพักอีกด้วย ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วย​เพิ่มรายได้จากฝั่ง Non-room เพิ่มมากขึ้น พร้อม​สร้างเอกลักษณ์จากความแตกต่าง และทำให้มีพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย” 

ตั้งเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่อง 1.2 หมื่นล้านบาท

สำหรับผลประกอบการ SHR ในปี 2566 ที่ผ่านมา สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ 1 หมื่นล้านบาท จาก​การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา รวมถึงข้อได้เปรียบจากสถานที่ตั้งโรงแรมในเครือที่อยู่ในจุดหมายปลายทางสำคัญ ส่วนเป้าหมายในปี 2567 นี้ ตั้งเป้ามีรายได้เพิ่มเป็น  1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไร EBITDA Margin ให้เติบโต​ 3 – 5%

ทั้งนี้ได้วาง 4 กลยุทธ์ที่จะใช้ขับเคลื่อนเพื่อเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้  ประกอบด้วย

– ขับเคลื่อนประสิทธิภาพ มุ่งสร้างการเติบโต (Drive efficiency, ignite growth) ผ่านปัจจัยการเติบโต 3 ด้าน ได้แก่ อัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ซึ่งตั้งเป้า​เติบโตขึ้น 25% จากยอดจองห้องพักในมัลดีฟส์ช่วงไตรมาสแรกที่ขยายตัวได้ดี และค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ซึ่งคาดว่าจะเติบโต​ 20% จากการปรับปรุงห้องพักของโรงแรมในฟิจิและไทย และการเปิดตัวของโซ/ มัลดีฟส์ นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อื่นนอกเหนือจากการเข้าพัก (Non-room Revenue) ที่ 15% ทั้งจากอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีแผนเปิดตัวบีชคลับทราย (SAii) ในทุกรีสอร์ท และรองรับดีมานด์จากตลาด Mice ​

– ปลดล็อคศักยภาพของพอร์ตโฟลิโอ (Unleash the power of the portfolio)  ด้วยเป้าหมาย ยกระดับพอร์ตโฟลิโอและหมุนเวียนสินทรัพย์ (Portfolio Enhancement)  โดยตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Return Rate: IRR) ​12 – 15% พร้อมต่อยอดแผน​ปรับปรุงโรงแรมในประเทศไทยที่ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต และ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ สำหรับตลาดสหราชอาณาจักร บริษัทฯ จะดำเนินกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่และรีแบรนด์โรงแรมในพื้นที่ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยว อาทิ แมนเชสเตอร์ เอดินเบอระ เลสเตอร์ และกลาสโกว์

เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด (Scale Without Limits) เพื่อตอบรับการเติบโต​กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พร้อม ​​ยกระดับแบรนด์ (Brand Enhancement) โดยสร้างการจดจำแบรนด์ ทราย (SAii) ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแบบลักชูรีอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ระดับโลก สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวว่าการเข้าพักจะสร้างผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยที่สุด พร้อมต่อยอดความเชื่อมั่นแบรนด์สู่การเติบโตภายใต้ข้อจำกัดที่ลดลง โดยตั้งเป้า​​เพิ่มจำนวนโรงแรม ในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดจำนวนไม่น้อยกว่า 50 แห่ง ภายในระยะเวลา 5 ปี ​

ปักหมุดรุกตลาดใหม่ (Beyond Borders)ผ่านการจัดสรรงบ​ลงทุน  15,000 ล้านบาท เพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า โดยยังคงพุ่งเป้าไปที่จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในภาคพื้นทวีปยุโรปในแถบเมดิเตอร์เรเนียน สหราชอาณาจักร แถบมหาสมุทรอินเดีย เอเชียแปซิฟิค และฟิจิ เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้ รวมถึงลดความผันผวนทางฤดูกาล (Seasonal Effect) ของโรงแรมในเครืออีกด้วย

​”​ SHR ยังคง​รักษาตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย ผ่านการปรับปรุงโรงแรม เพื่อเพิ่มอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR)  ในไทยและฟิจิให้สูงขึ้น​ 20% นอกจากนี้ การเปิดตัว โซ/ มัลดีฟส์ (SO/ Maldives) รีสอร์ทระดับ 5 ดาว ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งของโครงการ ‘ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์’ (CROSSROADS Maldives) ในการตอบรับความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มนักท่องเที่ยวนานาชาติ และเติมเต็มให้ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ เป็นผู้นำจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนและไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรที่สุดในหมู่เกาะมัลดีฟส์  นอกจากนี้ ยังได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มนักลงทุน จากการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี ที่มียอดจองซื้อสูงเกินกว่าเป้าหมาย ปิดการขายด้วยมูลค่า 1,300 ล้านบาท ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนและรองรับกลยุทธ์การลงทุนในอนาคต”​

Stay Connected
Latest News