ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเป็นประเทศมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำหรือนโยบายใดๆ ผลที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่เรื่องที่เกิดขึ้นภายในประเทศของตัวเองเท่านั้น แต่สามารถชี้นำและเปลี่ยนทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมไปถึงผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมือง และผู้คนทั่วโลก
ขณะที่การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ของ โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมนโยบาย America First ที่ประกาศขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ และประชาชนชาวอเมริกาเป็นสำคัญ ตามสโลแกนที่ใช้ตลอดการหาเสียงที่ผ่านมาว่า ‘Make America Great Once Again’
พร้อมการ Action ทันทีหลังการเข้ารับตำแหน่งผ่านการลงนามต่างๆ ที่โลกต้องจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นการถอนตัวจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) พร้อมหันมาสนับสนุนการใช้พลังงานฟอสซิล, การถอนตัวจากประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก WHO, การเลิกสนับสนุนกลุ่มผู้ลี้ภัยภายในประเทศ, การรับรองเพศสภาพเพียงชายและหญิงเท่านั้น รวมทั้งการเลิกสนับสนุนนโยบายด้านความหลากหลาย เท่าเทียมต่างๆ ผ่านการยกเลิกตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลขับเคลื่อนงานด้าน DE&I เป็นต้น
สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความกังวลใจในหลายมิติ โดยเฉพาะเมื่อการขับเคลื่อน ‘ความยั่งยืน’ ตามกรอบ ESG เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย UN SDGs ทั้ง 17 ข้อ ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Agenda ของโลก สวนทางกับสิ่งที่ทรัมป์ต้องการผลักดันและขับเคลื่อน จึงเป็นที่น่าจับตาถึงทิศทางและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อจากนี้
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัช อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงประเด็นที่เกิดขึ้น โดยเปรียบเทียบกับการขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดเมื่อเกิดปัจจัยในสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยมองว่านโยบายที่ทรัมป์ประกาศขับเคลื่อน ไม่ต่างจากการทำธุรกิจที่เน้นกำไร โดยไม่ได้มองที่การช่วยเหลือผู้คนหรือสังคม หรือเป็นองค์กรที่อาจจะมองแค่ยอดขาย หรือ Market Share โดยไม่มองเรื่องของความยั่งยืนที่ต้องสร้าง Heart Share หรือต้องทำให้ลูกค้ารักด้วย หากเปรียบเป็นธุรกิจ การขับเคลื่อนนโยบายของทรัมป์ เป็นการมองแบบ Business Oriented มากกว่าเป็น Consumer Oriented หรือไม่มองระยะยาวเพื่อสร้าง Sustainability ที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบในภาพรวมควบคู่ไปด้วยเสมอ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นเปรียบเสมือน Threats หรืออุปสรรค ซึ่งหมายถึงปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถือเป็น External Barrier จึงไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งกังวล หรือคิดแง่ลบต่างๆ แต่สิ่งที่ต้องรีบทำคือ การปรับตัวให้สอดคล้องภายใต้เงื่อนไขที่มีอยู่ และหันกลับมามองตัวเอง มองที่ปัจจัยภายในที่สามารถแก้ไขได้ เพื่อวางยุทธศาสตร์ในการเดินและขับเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นสำคัญ
ดังนั้น ภาคธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องหันกลับมามองว่า ธุรกิจในส่วนใดของตัวเองบ้างที่ได้รับผลกระทบ หรือจะมีโซลูชั่นในการรับมือ หรือปรับตัวได้อย่างไร เช่น การหาตลาดใหม่เพิ่มเติม เพื่อสร้างรายได้จากส่วนอื่นๆ มาทดแทน โดยเฉพาะการกลับมาดูตลาดอื่นๆ ที่เหลืออยู่เพื่อหาวิธีการหรือโซลูชันในการเจาะตลาดได้ลงลึก หรือชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งการ Create Demand เพื่อสามารถสร้างการเติบโตจากภายในได้มากขึ้น ซึ่งในอีกด้านหนึ่งอาจจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ มุมมองใหม่ ไปจนถึงตลาดหรือพันธมิตรใหม่ๆ ที่ไม่เคยร่วมมือหรือจับมือกันมาก่อน กลายเป็น ‘จุดเริ่มต้น’ ในการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ก่อนหน้านี้อาจไม่เคยมีโอกาสได้ทำมาก่อน
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนของโลกว่า ไม่ควรยึดติด หรือ Priority ที่ใคร หรือตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ต้องไม่ลืมกระจายความเสี่ยง ตามกลยุทธ์ Diversification เพราะการทำธุรกิจมีหลายปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ป่วยการที่เราจะทำธุรกิจอยู่บนพื้นฐานของความกลัว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความหวัง กลัวได้ แต่ต้องนำความกลัวมาพัฒนาตัวเอง พร้อมหันกลับมามองดูตัวเองว่ายังมีอะไรที่ต้องแก้ไข ปรับปรุง เพื่อสร้างความหวัง ผ่านการหาวิธีการ หาโซลูชันภายใต้เงื่อนไขใหม่ที่เกิดขึ้น โดยไม่ไปยึดติดกับเงื่อนไขเดิมๆ เพื่อหาวิธีมาเอาชนะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ในที่สุด เพื่อสามารถสร้างให้เกิดความมั่นคงได้ในระยะยาว”
เช่นเดียวกับการขับเคลื่อนประเด็น Sustainability เชื่อว่าโลกยังคงโฟกัสและให้ความสำคัญเหมือนเดิม แม้ว่า ‘พี่เบิ้ม’ อย่างอเมริกาจะถอนตัวไป ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ย่อมส่งผลกระทบและสร้างแรงกระเพื่อมอย่างแน่นอน แต่การจะก้าวไปข้างหน้า กลุ่มประเทศที่เหลือต้องจับมือกันให้แน่นมากกว่าเดิม พร้อมการสร้างแนวร่วมเพื่อทำให้การขับเคลื่อนต่อจากนี้มีกำลังเพิ่มขึ้น และต้องทำให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมแบบคูณสอง ไม่สามารถทำได้แบบเดิมๆ หรือเท่าเดิมได้อีกต่อไป พร้อมทั้งการกระจายถนนแห่งความยั่งยืนให้ครอบคลุมไปยังถนนสายใหม่ๆ เพื่อกระจายออกไปทั่วโลกได้มากขึ้น และอาจเป็นโอกาสให้ประเทศที่เหลืออยู่จับมือกันแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายในประเทศของอเมริกาเอง ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งเสรี เมื่อนโยบายของผู้นำมีความย้อนแย้งกับหลักการ ก็จำเป็นต้องจับตาดูต่อไปว่า นโยบายของผู้นำ และความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในประเทศ สุดท้ายแล้วสิ่งที่น่าสนใจและต้องจับตาดูว่า น้ำหนักจากฝ่ายไหนจะชนะ หรือได้รับการตอบรับที่มากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อประเด็นความหลากหลาย ความเท่าเทียม และความใส่ใจต่อโลกและผู้คน ซึ่งอาจจะเข้ามาเป็นแรงผลักดันเพื่อรักษาไว้ซึ่งสิทธิ เสรีภาพ และความหลากหลายต่างๆ ไว้ได้
และอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือ การมาของทรัมป์นั้น เป็นแค่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายก็จะเป็นวาระใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตามมาในอนาคต ขณะที่ Agenda ในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน การดูแลโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน