ถือเป็นหนึ่งใน Milestones ที่สามารถพิสูจน์ความสำเร็จ ในการมุ่งสู่เป้าหมาย ‘การเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทย’ (The Most Beloved Beverage Company in Thailand with True Gemba Centricity) สำหรับ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย
เมื่อสามารถติดโผ ‘Top 50 Companies in Thailand 2025’ ในฐานะองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุด ประจำปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 พร้อมอันดับที่ขยับเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงอีกหนึ่งมิติในการเป็นบริษัทที่คนไทยรักและอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร จากตัวตนและคุณค่าในความเป็น ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ที่ได้ใจทั้งผู้บริโภค คู่ค้า ลูกค้า รวมไปถึงพนักงาน
คุณยศยุต สหวัชรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด (Suntory PepsiCo Beverage (Thailand) ) กล่าวว่า นอกจากแบรนด์ที่แข็งแรง และกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การมีบุคลากรที่มีศักยภาพพร้อมวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ถือเป็นอีกหนึ่งรากฐานสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่งทางซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรตามแนวคิด People-First เพื่อมุ่งพัฒนาและดูแลบุคลากรในทุกระดับ และทุกสายงานให้มีโอกาสเติบโตไปพร้อมความสำเร็จขององค์กรได้อย่างทั่วถึง
“ในด้านหนึ่งเราสร้างแบรนด์ วางกลยุทธ์ พัฒนาสินค้าเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แต่ขณะเดียวกันเราต้องให้ความสำคัญในการเข้าใจความต้องการของพนักงาน พร้อมสามารถส่งมอบคุณค่าองค์กรเพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ทั้งการมี ความกล้าในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่และแตกต่าง (Yatte Minahare) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน (Growing for Good) รวมทั้งการคำนึงถึงการส่งคืนกลับให้แก่สังคม (Giving Back to Society) โดยคุณค่าเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดไปสู่พนักงานในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นส่วนงานผลิตในโรงงาน พนักงานออฟฟิศ หรือในส่วนของฝ่ายขายที่ทำงานประจำในศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 25 แห่งทั่วประเทศ ที่มีโอกาสได้รับการดูแลและโอกาสในการเติบโต เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรได้อย่างเท่าเทียมกัน”
สำหรับการพัฒนาบุคลากรด้วยแนวคิด People-First จะมีการขับเคลื่อนผ่าน 4 แนวทาง ประกอบด้วย
1. Employee Engagement : การสร้างความผูกพันระหว่างองค์กรและพนักงาน ผ่านเครื่องมือสำคัญอย่างการทำ Employee Listening เพื่อสามารถเข้าใจพนักงานได้ไม่ต่างกับการทำความเข้าใจผู้บริโภค ทั้งรูปแบบการทำงาน สวัสดิการต่างๆ หรือการรับฟังความเห็นต่างๆ จากพนักงานไม่ว่าจะเป็นกฏระเบียบ กระบวนการทำงาน เพื่อสามารถตอบโจทย์ในสิ่งที่พนักงานต้องการได้ ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลต่อการยกระดับ Performance โดยรวมขององค์กรให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นในที่สุด
2. Enhancing Capability : เพิ่มโอกาสในการยกระดับศักยภาพของบุคลากร ทั้งจากการพัฒนาและฝึกอบรมต่างๆ เพื่อเพิ่มทักษะการทำงานได้หลากหลาย หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ในการทำงาน เพื่อเพิ่มทักษะการเรียนรู้ที่หลากหลายให้พนักงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจุดเด่นสำคัญขององค์กรที่มีเครือข่ายบริษัทแม่ทั้งในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ Best Practice จากทั้ง 2 แห่ง ช่วยเพิ่มโอกาสในการฝึกฝนทักษะ เรียนรู้ประสบการณ์ รวมทั้งวิธีคิดที่แตกต่างกันจากทั้ง 2 บริษัท เพื่อนำส่วนที่ดีของแต่ละแห่งมาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. Career Growth : โอกาสในการเติบโตที่เปิดกว้างให้พนักงานในทุกภาคส่วน ทั้งจากการพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ในส่วนงานต่างๆ หรือแม้แต่การยกระดับประสิทธิภาพการทำงานที่ได้จากกระบวนการ Employee Listening ทำให้ได้งานที่สามารถเพิ่มทักษะใหม่ๆ รวมถึงโอกาสในการขยับไปทำงานในระดับ Regional หรือ Global ร่วมกับทางบริษัทแม่ และพันธมิตรทางธุรกิจที่มีอยู่ในต่างประเทศ โดยเปิดกว้างให้พนักงานสามารถวางแผนการเติบโตในเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมได้ในแต่ละสายงานที่ต้องการ
4. Inclusive Culture : การสนับสนุนให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กรในการสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและเป็นมิตร ตามแนวทาง DEI (Diversity , Equality, Inclusion) การเป็นองค์กรที่เปิดกว้างสำหรับความหลากหลาย เช่น การมีนโยบายดูแลทั้งพนักงานรวมไปถึงครอบครัวพนักงาน รวมถึงกลุ่ม Same Sex Partner เพื่อตอกย้ำการส่งเสริมเรื่องความหลากหลายและเท่าเทียมแบบจับต้องได้
“เราให้ความสำคัญในการหาอินไซต์จากพนักงานเพื่อนำมาปรับกระบวนการทำงาน หรือปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงานและสอดคล้องกับทิศทางการทำงานในอนาคต เช่น เรื่องความยืดหยุ่น หรือ Flexibility ที่เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถ Work From Home ได้สัปดาห์ละ 2 วัน การพัฒนา Engagement Activity ต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อสร้าง Loyalty และความรู้สึกรักและผูกพันกับองค์กรได้มากขึ้น และให้ความสำคัญกับพนักงานในทุกสายงาน ทำให้อัตราการลาออกขององค์กรอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม หรือแม้แต่การมีรูปแบบในการสรรหาบุคลากร (Hiring ) ที่แตกต่าง เช่น Blind Resume เพื่อสามารถคัดเลือกคนร่วมงานจากประสบการณ์และความสามารถได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการมุ่งพัฒนาศักยภาพให้คนในองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อสามารถสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ สามารถทำงานได้ทั้งในประเทศ จนถึงระดับภูมิภาคหรือระดับโลก รวมทั้งมีศักยภาพในการเติบโตสู่ระดับการขับเคลื่อนด้านนโยบายหรือในระดับบริหาร ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ให้กับบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยให้เทียบชั้นสากลได้ในภาพรวมอีกด้วย”
ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย วางเป้าหมายสำคัญในมิติ People-First คือ การเป็น ‘The Most Employer of Choice’ ซึ่งสอดคล้องไปกับภาพใหญ่ทางธุรกิจในการเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งจุดเริ่มต้นต้องมาจากการทำให้พนักงานรักให้ได้ก่อน เพราะเมื่อพนักงานมีความสุขก็จะสามารถส่งต่อความสุขที่ได้รับออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง รวมทั้งยังเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างทั้ง Growing For Good ควบคู่ไปกับ Giving Back to Society เพื่อเติมเต็มทั้งความฝันในการได้ทำงานในแบบที่รัก มีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ได้เป็นผู้นำที่ดี และมีส่วนในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้เติบโตไปในทิศทางที่ดีร่วมกันได้ด้วยเช่นกัน