ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ชูจุดแข็ง “เทคโนโลยีดิจิทัลผนวกระบบไฟฟ้า” เดินหน้าสร้าง Positive Impact พร้อมขับเคลื่อน Decarbonization เผยความสำเร็จช่วยพันธมิตรลดคาร์บอนทั่วโลก 679 ล้านตัน
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น การจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เผยกลยุทธ์หลักปี 2568 เร่งผลักดันลูกค้าและพาร์ทเนอร์สร้างระบบนิเวศที่เข้มแข็ง พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ โซลูชั่นและบริการล้ำหน้าเพื่อประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงสุด พร้อมความสำเร็จทั้งรายได้รวมทั่วโลก 38,153 ล้านยูโร และสัดส่วนถึง 74% เป็น Impact revenues พร้อมตั้งเป้าให้รายได้ทั้ง 100% สร้างอิมแพ็คที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลด Green Impact Gap และ Carbon Emission ตามตามโรดแม็พ พร้อมบรรลุ Net Zero ในปี 2050 ตามแผนที่วางไว้
คุณมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา เปิดเผยความสำเร็จของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในปีที่ผ่านมา สามารถช่วยลูกค้าทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2567 ได้ถึง 679 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (TCO2e) และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดําเนินงานของซัพพลายเออร์ได้ 40% ส่งผลให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นองค์กรหนึ่งเดียวที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 ใน Global 100 ถึง 2 ครั้ง ตามรายงาน Corporate Knights
ความสำเร็จดังกล่าว ตอกย้ำความแข็งแรงในฐานะ Impact Makers ที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกเพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนภายในห่วงโซ่ธุรกิจ หรือ Carbon Emisssion พร้อมขับเคลื่อนจุดยืนด้านความยั่งยืนร่วมกับพันธมิตรเพื่อส่งเสริมการเป็น Impact Makers ร่วมกัน ภายใต้กลยุทธ์ Customer First ผ่าน 3 แกนหลัก ประกอบด้วย
1. Strategize การวางแผนสร้างกลยุทธ์เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นในระบบนิเวศทั้งซัพพลายเชน
2. Digitize การนำเทคโนโลยีมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้นทั้งการให้คำปรึกษาตลอดจนการวัดผล
3. Decarbonize การลงมือทำอย่างมีประสิทธิผล โดยนำเทคโนโลยีล้ำหน้าพร้อมระบบวิเคราะห์มาช่วยในการลดการปล่อยคาร์บอนไนออกไซด์
“ความต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของภาคธุรกิจที่เติบโตเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลประกอบการทั่วโลกของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เติบโตต่อเนื่อง โดยรายในปี 2567 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 38,153 ล้านยูโร เติบโต 8% จากรายได้รวม 35,902 ล้านยูโร ในปีก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนรายได้ถึง 74% หรือเกือบ 3 ใน 4 ที่เป็น Impact revenues หรือรายได้ที่มาจากธุรกิจหรือการพัฒนาสินค้าและโซลูชันที่สร้างให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม (Positive Impact) และช่วยลดการปล่อยคาร์บอน หรือ Decarbonization ซึ่งในอนาคตตามแผนการทรานส์ฟอร์มธุรกิจของชไนเดอร์ มีแผนให้ยอดขายทั้ง 100% เป็น Impact revenues ทั้งหมด รวมทั้งโรดแม็พในการเป็นลดคาร์บอน โดยตั้งเป้าเป็นกลางทางคาร์บอนในสิ้นปีนี้ พร้อมเพิ่มการลดคาร์บอนตลอดทั้งซัพพลายเชนลงอีก 25% ภายในปี 2030 และการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ทั้งห่วงโซ่ในปี 2050 ได้ในที่สุด”
ฉาย 3 เมกะเทรนด์ ย้ำภาพโลกมุ่งสู่ความยั่งยืน
แม้บริบทโลกธุรกิจปัจจุบันยังขาดความเชื่อมั่น ประกอบกับการประกาศนโยบายทรัมป์ สั่นคลอนการค้าระหว่างประเทศ แต่หากมองเมกะเทรนด์ รวมทั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก ยังมุ่งขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ทำให้เชื่อว่าธุรกิจที่สามารถปรับตัวหรือเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนได้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพและมีแต้มต่อในการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ 3 เมกะเทรนด์สำคัญ ที่คุณมงคล เชื่อว่า จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและเป็นตัวกำหนดทิศทางของธุรกิจในอนาคต ประกอบด้วย
1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กลุ่มธุรกิจในเอเชีย มองว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวม ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสําคัญสูงถึง 70% พร้อมรายงานว่าส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือน ถึง 41% ขณะที่ 32%รายงานถึงความเสียหายทางกายภาพและทรัพย์สินของบริษัท
2. การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (Digitalization & AI) ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้พลังงานประมวลผลของดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นมหาศาล เกิน 10 เท่าตัว โดย 93% ของบริษัทในเอเชียได้ปรับใช้กลยุทธ์การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืน แต่ยังคงเผชิญความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น
3. การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) จากความต้องการพลังงานที่มากขึ้น ธุรกิจมีการมองหาพลังงานทดแทน ที่เป็นพลังงานสะอาด จากการวิจัยโดย World Economic Forum พบว่า หากมีการใช้มาตรการเพื่อเปลี่ยนแปลงความต้องการพลังงานภายในปี 2573 จะสามารถประหยัดได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ 29% ของบริษัทที่สํารวจมองว่ายังมีข้อจำกัดด้านความพร้อมในการเปลี่ยนมาใช้ทางเลือกพลังงานสะอาด และมีแนวโน้มที่จะลงทุนในมาตรการด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
“การผลักดันองค์กรจำนวนมากให้ก้าวสู่ความเป็น Impact Makers หรือกลุ่มผู้สร้างผลกระทบด้านความยั่งยืน คือหนึ่งในภารกิจของชไนเดอร์ เพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตตามเมกะเทรนด์ รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนให้ทั้งระบบนิเวศ ทั้งลูกค้าและคู่ค้าสู่การเป็น Impact Makers ไปด้วยกัน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมและซอฟต์แวร์ เพื่อรองรับ กลยุทธ์พลังงานไฟฟ้า 4.0 เป็นกุญแจสําคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ทั้งในด้านอุปสงค์และการลดคาร์บอนออกไซด์ในการจัดหาพลังงาน โดยใช้แนวคิดที่เป็นสูตรสำเร็จ “เทคโนโลยีดิจิทัล + ระบบไฟฟ้า = ยั่งยืน” เพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์ดังกล่าว โดยเฉพาะใน 4 กลุ่มตลาดหลักที่สำคัญคือ อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน”
เดินหน้าพัฒนาโซลูชั่นเร่ง Decarbonization ทั่วโลก
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังเผยลสำรวจ Green Impact Gap ประจำปี ร่วมกับพันธมิตร Milieu Insight ในกลุ่มผู้นำธุรกิจ 4,500 ราย ใน 9 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม และผู้นำธุรกิจ 500 รายในไทย เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของแผนการลงทุนในการขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น พร้อมสร้างผลลัพธ์ได้จริงจากการดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย โดยพบอินไซต์สำคัญ เช่น
– 95% มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มีเพียง 47% ที่ดําเนินการอย่างครอบคลุมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
– ช่องว่างการดําเนินการด้านความยั่งยืนของไทย (Green Impact Gap) ในปี 2567 อยู่ที่ 50% แม้ว่า 98% มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ดําเนินการตามกลยุทธ์อยู่ที่ 48% เท่านั้น
– 83% ของธุรกิจไทยให้ความสําคัญกับความยั่งยืน โดย 74 % ของผู้บริหารระดับสูงมองว่าความยั่งยืนเป็นสิ่งสําคัญสําหรับบริษัท และ 39% มองว่าการดำเนินโครงการด้านความยั่งยืนนําไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
– Impact Makers กําลังพัฒนาความยั่งยืนผ่านการเปลี่ยนสู่ดิจิทัล โดยให้ความสําคัญกับประเด็น Climate Change และ Decarbonization และตระหนักดีว่าการสร้างความยั่งยืนต้องให้ความสำคัญกับแนวทางและความร่วมมือในระบบนิเวศเพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกัน
สำหรับการขับเคลื่อน และพัฒนาโซลูชัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ตอบโจทย์ Climate Change และ Decarbonization อาทิ
– 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกเกิดจากอาคาร ขณะที่การพัฒนาเทคโนโลยีอาคารและการจัดการพลังงาน สามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 40% ซึ่งการปรับปรุงระบบดิจิทัลและเทคโนโลยี และสามารถลด Carbon Emission ในการดําเนินงานของอาคารได้ถึง 77% ด้วยโซลูชั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค
– กลุ่มบ้านพักอาศัยมีโซลูชั่นการจัดการพลังงานภายในบ้านเต็มรูปแบบที่เรียกว่า Home Energy Management Solutions หรือ HEMS ซึ่งผสานกับ AI ช่วยตั้งแต่บริหารจัดการการผลิต การจัดเก็บ และการใช้พลังงาน เจ้าของบ้านสามารถควบคุมการใช้พลังงานและต้นทุนที่เกี่ยวข้องได้
– ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ซอฟต์แวร์และโซลูชั่นเพื่อนําลูกค้าไปสู่ Net Zero ผ่าน EcoStruxure นวัตกรรมที่เปลี่ยนทุกความท้าทายให้เป็นโอกาส
– การยกย่องซัพพลายเออร์ในกลุ่ม Impact Makers ที่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนร่วมกัน ผ่านการปรับใช้นวัตกรรมและโซลูชั่นลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อร่วมขับเคลื่อนสังคม Net Zero โดยคัดเลือก 5 บริษัทชั้นนำของไทย เป็นผู้ชนะในเวที Sustainability Impact Awards 2024 ระดับประเทศ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) และบริษัท คอมพลีท อิเล็คทริเคิล โซลูชั่นส์ จำกัด เพื่อสะท้อนความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นําด้านความยั่งยืน และเปิดการมองเห็นสู่สายตาของทั่วโลกที่อาจนําไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ