ซีอาร์จี นำร่อง เคเอฟซี Green Store Concept​ สาขาราชพฤกษ์ ส่งมอบประสบการณ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ซีอาร์จี ขับเคลื่อนธุรกิจกับแนวคิดประสบการณ์ใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม นำร่องเปิด เคเอฟซี Green Store Concept สาขาราชพฤกษ์ รุกขยายสาขาในรูปแบบโมเดลใหม่ที่เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น พร้อมปรับโฉมร้านให้ทันสมัยโดนใจกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างความวาไรตี้พัฒนาเมนู KFC Cafe’ by Arigato

คุณปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส QSR & Western Cuisine  ผู้บริหารแบรนด์ เคเอฟซี ภายใต้การบริหารโดย บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิดและภัยพิบัติทั่วโลกได้สร้างความท้าทายในการใช้ชีวิตของทุกคนบนโลก ผู้บริโภคเริ่มมองหาความยั่งยืน และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ผู้ประกอบการอย่างเคเอฟซีเองก็ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนเช่นเดียวกัน และด้วยนโยบายของ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ที่ต้องการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมในมิติต่าง ๆ ด้วยการใช้แนวคิดการสร้างสรรค์คุณค่าร่วมให้กับสังคม (CSV) เป็นแกนหลักในการทำงาน จึงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจกับแนวคิดประสบการณ์ใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม เปิดร้าน KFC Green Store ภายใต้แนวคิด “Journey to zero” สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าที่ ร้านเคเอฟซี สาขา โรบินสัน ราชพฤกษ์ โดยการออกแบบร้านในคอนเซ็ปต์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โดยมุ่งเน้นไปในด้านการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยตัวอาคารออกแบบในสไตล์นอร์ดิกให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ประกอบกับโครงสร้างร้านและวัสดุในกระบวนการก่อสร้าง ที่ส่งเสริมแนวคิดเพื่อความยั่งยืน ด้วยกระจกประหยัดพลังงานในระดับสูงสุด ที่ป้องกันความร้อนผ่านกระจกในขณะที่ให้แสงส่องผ่านได้มาก, การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในด้านการประหยัดพลังงาน,  การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล รวมถึงชุดพนักงานที่ตัดเย็บด้วยผ้าจากเส้นใยขวดพลาสติก ตลอดจนการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การตกแต่งภายในร้าน มีมุม Education & Sharing zone ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดจากศิลปินเด็ก ในความดูแลของ มูลนิธิซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากกิจกรรมประกวดภาพวาด “สิ่งแวดล้อมในฝันของหนู” ซึ่งเป็นการเริ่มต้นเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมแก่เยาวชนไทย รวมถึงแคมเปญ “ปรับไลฟ์ ช่วยโลก กับเคเอฟซี” ที่เป็นการกระตุ้นเพื่อปรับพฤติกรรมการลดใช้พลาสติกของลูกค้า ช่วยลดปัญหาขยะ และดำเนินการคัดแยกขยะที่หน้าร้าน อีกทั้งอาหารส่วนเกินจากการจำหน่าย ที่มีคุณภาพดีสามารถนำมาบริโภคได้ ก็ดำเนินโครงการ Harvest Program รวบรวมและส่งต่อให้กับ “บ้านราชาวดี” เพื่อเป็นการช่วยเหลือชุมชน และผู้ที่ต้องการ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจของพนักงาน เนื่องจากสามารถลดจำนวนอาหารที่จะต้องทิ้งในแต่ละวัน

นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติเพื่อความยั่งยืนอีกหลายประการ เช่น การใช้ระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพ และการลดจำนวนการใช้หลอดไฟติดเพดาน ซึ่งสามารถช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ 7% (เมื่อเทียบกับสาขาที่มีลักษณะเดียวกัน) และทำให้ร้านค้าแห่งนี้สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 17,947 กิโลวัตต์ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 10,081 กิโลกรัมต่อปี อีกด้วย

ในส่วนของแผนงาน KFC Green Store สาขานี้ เป็นสาขานำร่อง จึงเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้ไปด้วยกันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ซึ่งแบรนด์มีความพร้อมในการต่อยอดเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในสาขาอื่น ๆ ต่อไป โดยเป้าหมาย คือ การเป็นร้านต้นแบบในการสร้างแรงบันดาลใจที่จะลดการสร้างของเสียต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของบรรจุภัณฑ์, การลดการปล่อยคาร์บอน รวมไปถึง ขยะจากเศษอาหาร เพื่อหวังที่จะจุดประกายให้ทั้งลูกค้า และภาคธุรกิจ ได้หันมาให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นต่อไปใน

9 เดือนแรก ยังเติบโตได้ 25%

สำหรับภาพรวมธุรกิจร้านอาหารประเทศไทยมีการเติบโตขึ้นจากปี 64 ประมาณ 12.9%  (อ้างอิง : ศูนย์วิจัยกสิกร) โดยที่มีไฮไลท์ที่การระบาดของโควิด-19 เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงมีการฟื้นตัวของการขายอาหารที่หน้าร้านเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวเข้ากับโควิด-19 ได้มากขึ้น และเรื่องปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุน ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว เริ่มมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกลับมามากขึ้น

ขณะที่ยอดขายของซีอาร์จีในช่วง Q1 – Q3 2565 เติบโตมากกว่า 25% จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เบาบางลง ประกอบกับผู้บริโภคเริ่มปรับตัวให้เข้ากับโควิด-19 ได้มากขึ้น และกลับมาดำเนินชีวิตใกล้เคียงปกติ  โดยช่องทางการจำหน่ายหน้าร้านเติบโตมากขึ้นกว่า 60% เมื่อเทียบกับปี 2564 จึงเร่งขยายสาขาด้วยร้านรูปแบบใหม่ ใน Format และขนาดที่ตอบสนองกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ธุรกิจเดลิเวอรี่ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ เนื่องจากผู้บริโภคบางกลุ่มได้เกิดการคุ้นชินกับความสะดวกสบายจากการใช้บริการเดลิเวอรี่ไปแล้ว

ในส่วนของภาพการแข่งขันของตลาดอาหาร QSR ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้เล่นรายใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นหลายราย โดยเฉพาะอาหารประเภทไก่ทอดซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมสำหรับคนไทย และนอกเหนือจากผู้เล่นใหม่ ๆ ก็ยังมีผู้เล่นเดิมในตลาด QSR ที่ขยายธุรกิจตัวเองมาสู่ธุรกิจไก่ทอดมาขึ้นเรื่อย ๆ โดยทั้งสองปัจจัยส่งผลโดยตรงต่อการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย

เพิ่มวาไรตี้KFC Cafe’ by Arigato 

ทั้งนี้ จากการที่เคเอฟซี เป็นแบรนด์ที่มีจุดแข็งหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโปรดักส์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในหลากหลายโอกาส (occasion) ไม่ว่าจะกินคนเดียว หรือกินเป็นกลุ่ม อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และเข้าถึงลูกค้าได้ในทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย จึงทำให้แบรนด์มีลูกค้าที่เป็นแฟนของแบรนด์เป็นจำนวนมาก และด้วยเป้าหมายที่จะรักษาการเป็นแบรนด์ QSR อันดับหนึ่งในใจของลูกค้าคนไทย ในปี 2566 จึงเดินหน้าธุรกิจด้วยแผนงานต่าง ๆ ที่วางไว้

โดยเฉพาะกาแฟยังคงเป็น Incremental Occasion ให้กับแบรนด์ ดังนั้น KFC Cafe’ by Arigato” จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการที่ร้านในช่วงเวลาเช้า และบ่ายมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เครื่องดื่ม KFC Cafe’ by Arigato สามารถจำหน่ายได้มากถึง 2 ล้านแก้วในปี 2565 โดยในปี 2566 ​จะเพิ่มยอดขายด้วยการพัฒนาเมนูใหม่ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายของตัวเลือก ที่จะมาตอบสนองความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมของความแปลกใหม่ ความสะดวกในการรับประทาน และราคาของสินค้าที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถดึงกลุ่มคนที่ชอบเมนูเครื่องดื่มชงสด และของหวานเข้ามาที่ เคเอฟซี ได้มากขึ้น และสามารถเพิ่มความถี่ในการซื้อของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันมีจำนวนสาขา KFC Cafe’ by Arigato​ จำนวนกว่า 260 สาขา

ทุ่ม 400 ลบ. ดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่

ทางแบรนด์ยังมีโมเดลร้านใหม่ๆ ที่พร้อมนำมาทดลองเปิด ทั้งในปี 2565  และ 2566  โดยร้านในรูปแบบใหม่นี้ จะเข้ามาเพื่อมาตอบสนองความสะดวกสบายของลูกค้า และการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น (Easy and Convenience) เช่น โมเดล พาร์ค แอนด์ โก (Park and Go) อีกทั้งยังมองหาพื้นที่ใหม่ ๆ ที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจเดลิเวอรี่และออมนิชาแนล และจะตอบโจทย์การขยายเวลาการให้บริการ (Operating Hour) เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ทานดึก ซึ่งจะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะสามารถช่วยเพิ่มการเติบโตของธุรกิจเคเอฟซีได้

พร้อมเดินหน้าปรับโฉมร้านใหม่ ทั้งรูปแบบ ดีไซน์ และคอนเซ็ปต์ให้ทันสมัย โดนใจ รวมถึงการนำเอา KFC Application เข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปให้มากที่สุด ด้วยการร่วมมือกับ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ในด้านความคิดริเริ่มใหม่ ๆ

โดยเป้าหมายในการขยายสาขาในปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่มจำนวนกว่า 20 สาขา และคาดว่าภายในสิ้นปีจะมีจำนวนสาขารวมมากกว่า 320 สาขา ส่วนแผนของปี 2566 ตั้งเป้าเปิดจำนวนกว่า 30 สาขา หรือประมาณ 10% ของจำนวนสาขาเดิม

Stay Connected
Latest News